วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิธีเกี่ยวกับการกรวดน้ำ

กรวดน้ำ คือ การตั้งใจอุทิศส่วนบุญกุศลที่เราได้ทำไว้แล้วไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พร้อมทั้งรินน้ำให้ไหลลงไปที่พื้นดินหรือที่รองรับ แล้วเอาไปเทที่พื้นดินอีกต่อหนึ่ง หรือรพที่โคนต้นไม้ก็ได้
เพื่อให้จำง่ายไม่สับสน จึงแยกเป็นข้อๆ ดังนี้
1. การกรวดน้ำ มีสองวิธีคือ
กรวดน้ำเปียก คือใช้น้ำเป็นสื่อ รินน้ำลงไปพร้อมกับอุทิศผลบุญกุศลไปด้วย
กรวดน้ำแห้ง คือไม่ใช้น้ำ ใช้แต่สิบนิ้วพนม อธิษฐาน แล้วอุทิศผลบุญกุศลไปให้
2. การอุทิศผลบุญมี สองวิธีคือ
อุทิศเจาะจง ได้แก่ การออกชื่อผู้ที่เราจะให้ท่านรับ เช่น พ่อ แม่ ลูก หรือใครก็ได้
อุทิศไม่เจาะจง ได้แก่ การกล่าวรวมๆ กันไป เช่น ญาติทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น
ทางที่ถูก ควรทำทั้งสองวิธี คือ ผู้ที่มีคุณหรือมีเวรต่อกันมากเราก็ควรอุทิศเจาะจงที่เหลือก็อุทิศรวมๆ
3. น้ำกรวด ควรเป็นน้ำที่สะอาด ไม่มีสีและกลิ่น และเมื่อกรวดก็ควรรินลงในที่สะอาดหรือไปเทในที่สะอาด อย่ารินลงกระโถนหรือที่สกปรก
4. น้ำเป็นสื่อ-ดินเป็นพยาน การกรวดน้ำ มิใช่จะอุทิศไปให้ผู้ตายกินน้ำ แต่ใช้น้ำเป็นสื่อและใช้แผนดินเป็นพยานให้รับรู้ในการอุทิศส่วนบุญ
5. ควรกวดน้ำตอนไหน ควรกรวดน้ำทันทีที่ในขณะที่พระอนุโมทนา แต่ถ้าไม่สะดวกจะทำตอนหลังก็ได้ แต่ทำในขณะนั้นดีกว่าด้วยเหตุสองประการคือ
- ถ้ามีเปรตญาติมารอรับส่วนบุญ ท่านก็ย่อมได้รับในทันที
- การรอไปกรวดที่บ้าน หรือกรวดภายหลังบางครั้งก็อาจลืมไป ผู้ที่เขาตั้งใจรับก็อด ผู้ที่เราตั้งใจจะให้ก็ชวดไปด้วย
6. ควรรินน้ำตอนไหน ควรเริ่มรินน้ำพร้อมกับตั้งใจอุทิศในขณะที่พระผู้นำเริ่มสวดว่า “ยะถา วาริวะหาปูรา..........”และรินให้หมดในเมื่อพระว่ามาถึง “......มะณิโชติระโส ยะถา.....” พอพระทั้งหมดรับพร้อมกันว่า “สัพพีติโย วิวัชชันตุ.....” เราก็พนมมือรับพรท่านไปจนจบ จึงจะถือว่าถูกต้อง
7. ถ้ายังว่าบทกรวดน้ำไม่เสร็จ จะทำอย่างไร ก็ควรใช้บทกรวดน้ำที่สั้นๆ หรือใช้บทกรวดน้ำย่อก็ได้ เช่น “อิทัง โน ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขออุทิศส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่............... และญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด”
หรือใช้แต่ภาษาไทยอย่างเดียวก็ได้ว่า “ขออุทิศส่วนบุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้วนี้จงสำเร็จแก่ พ่อ แม่ ญาติ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงได้รับส่วนบุญกุศลครั้งนี้โดยเร็วพลัน และโดยทั่วถึงกันเทอญ”
ส่วนบทยาวๆ เราควรเอาไว้กรวดส่วนตัว หรือกรวดในขณะทำวัตรสวดมนต์รวมกันก็ได้
ข้อสำคัญ ถ้าเป็นภาษาพระ ควรจะรู้คำแปล หรือความหมายด้วย ถ้าไม่รู้ความหมายก็ควรใช้คำไทยอย่างเดียวดีกว่า เพราะป้องกันความโงงมงายได้
8. อย่าทำน้ำสกปรก ด้วยการเอานิ้วไปรอไว้ ควรรินให้ไหลเป็นสายไม่ขาดระยะ และไม่ควรใช้วิธีเกาะตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นทางเหมือนเล่นงูกินหาง
ถ้าเป็นในงานพิธีต่างๆ ให้เจ้าภาพหรือประชาชน รินน้ำกรวดเพียงคนเดียว หรือคู่เดียวก็พอ คนนอกนั้นก็พนมมือตั้งใจอุทิศไปให้
9. การทำบุญและอุทิศส่วนบุญ ควรสำรวมจิตใจ อย่าให้จิตฟุ้งซ่าน ปลูกศรัทธา ความเชื่อ และปสาทะความเลื่อมใสให้มั่นคงในจิตใจ ผลของบุญและการอุทิศส่วนบุญ ย่อมมีอานิสงส์มาก
ผลบุญที่เราอุทิศไปให้ ถ้าไม่มีใครมารับก็ยังคงเป็นของเราอยู่ครบถ้วน ไม่มีผู้ใดจะมาโกงหรือแย่งชิงเอาไปได้เลย
10. บุญเป็นของกายสิทธิ์ ยิ่งให้ยิ่งมาก ยิ่งตระหนี่ยิ่งน้อย ยิ่งอุทิศให้คนอื่นหมดเลย เราก็ยิ่งจะได้บุญหมดเลย

วิธีแก้กรรม

         การจุดธูปขอขมากรรมกลางแจ้งหรือหน้าพระพุทธรูป และถวายของทั้งหมดก่อนใส่บาตร
การทำบุญอุทิศให้วิญญาณ ควรมีของดังนี้ สังฆทาน ๑ ถัง อาหารคาวหวาน ๑ ชุด น้ำ ผลไม้ พระพุทธรูปหน้าตักกว้าง ๕ นิ้ว ผ้าจีวร ๑ ชุด

         หมายเหตุ.- พระพุทธรูปจะทำให้มีรัศมีกายสว่างมาก เพราะเทวดาหรือ พรหม เขาถือความสว่างของร่างกาย ถ้ามีผ้าจีวรด้วยก็ยิ่งดี และถ้ามีอาหารด้วยความเป็นทิพย์ของร่างกายจะมีมากกว่าเก่า
เมื่อทำบุญแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณที่สิงอยู่ แล้วพูดต่อว่า “บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้ว ตั้งแต่ต้นในอดีตถึงปัจจุบันชาติ ผลของบุญนี้จะมีประโยชน์ ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอให้วิญญาณตัดขาดจากกันบัดนี้เป็นต้นไปเทอญ จงอนุโมทนาผลบุญนั้น และรับผลบุญเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

...................................................

กรรมของทุกชาติทุกภพ อาจจะเป็นหนึ่งล้านวิญญาณหรือแสนๆ ล้านวิญญาณ เพราะเราตายเกิดก็ล้านๆ ชาติภพ เจ้ากรรมนายเวร วิบากกรรมของทุกชาติภพจะตามเรามา วินาทีแรกที่ปฏิสนธิในท้องแม่บุญและบาปกี่ล้านวิญญาณ กี่ล้านมหากุศลก็จะมาเสวยในภพที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ขณะที่เรามีความสุขสบายก็เสวยบุญ ขณะที่ทุกข์ระทมก็เสวยบาปของภพชาติก่อนๆ กี่ล้านชาติก็หารู้ไม่ อาจเกิดในสมัยชมพูทวีป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ก็ได้ อาจจะเป็นกี่แสนมหากัปเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น เพราะมนุษย์เป็นผู้มีจิตอ่อนแอ หวั่นไหวต่อโลกธรรม ๘ เพราะฉะนั้นบุญและบาปของชาติปัจจุบันนี้ อาจจะเสวยอีก ๑๐๐ ชาติข้างหน้าก็ได้ เพราะต้องจบสิ้นบุญ และกรรมของชาติภพก่อน เป็นลำดับ ตามขั้นตอน จะมาแซงคิวก็ไม่ได้ ผู้รู้มีปัญญาจะพยายามทำกุศลต่อเนื่อง และสร้างบุญบารมีไม่ขาดสาย ทำได้เท่าที่ทำได้ โอกาสพร้อม และควรทำบุญด้วยปัญญา ทำบุญมากอาจได้บุญน้อยก็ได้ เรียกว่า หลงบุญ ทำบุญด้วยคุณภาพ คือปัญญาทางธรรมเกิดเป็นมหากุศลต่อเนื่อง จบสิ้นถึงขั้นพระอรหันต์ผลได้
....................................

วิธีแก้กรรมให้ตนเอง

เวลาที่ทำบุญหรือทำความดีอะไรทุกครั้ง นอกจากจะทำบุญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแล้ว เช่น การใส่บาตร การถือศีล และอื่นๆ การพูดคุยธรรมะ การช่วยให้ผู้อื่นสบายใจ ชี้แนะทางแก้ไขปัญหาชีวิต การทำความสะอาดห้องพระ การถวายน้ำเปล่าแก่พุทธเพียง ๑ แก้ว การร่วมอนุโมทนาการทำความดีของผู้อื่น โดยการใช้จิตน้อมไปทางบุญกุศล การกวาดใบไม้ทำสวน การทำความสะอาดห้องน้ำของส่วนรวม ความที่มีจิตใจดีหรือตั้งใจดีทั้งหมด การดูแลคนแก่ เด็ก ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นมหากุศลทั้งสิ้น ให้ตั้ง นะโม ๓ จบ ทุกครั้ง (ขอให้พระพุทธเจ้าเป็นพระประธาน) เพราะบารมีพระพุทธเจ้าเปิด ๓ ภพ (โลก) สวรรค์ มนุษย์ นรก เจ้ากรรมนายเวร จะอยู่ภพภูมิไหน เช่น นรกขุมสุดท้าย (๑๘) เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรมหมดรวดเร็ว แล้วควรกรวดน้ำลงดินทุกครั้ง แม่พระธรณี แม่พระคงคา เป็นทิพย์พยาน เพราะท่านก็สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ลูกได้ทำความดี เช่น ทำบุญกุศลใส่บาตร ฯลฯ ขอถวายบุญกุศลแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ขอให้ทุกพระองค์นำส่งบุญให้ลูกมีเดช ปัญญา โภคะ (ความสมบูรณ์) เพื่อจะได้อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร (วิญญาณโปร่งใส) ทุกภพทุกชาติ ศัตรูหมู่มารหรือหมู่พาล คือ มนุษย์ เช่น บริวาร ญาติ มิตร คนรับใช้ สามี บุตร ธิดา ทุกภพ ทุกชาติ ขอให้ได้รับมหากุศลนี้ รับแล้วขอให้อโหสิกรรม ให้ขาดจากกัน ณ เดี๋ยวนี้ บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีบุญบารมี สูงขึ้นๆ ๆ เต็มขึ้น เพื่อจะได้ช่วยสังคม ให้สูงขึ้น และช่วยสร้างคนให้เป็นพระ เกิดปัญญาทางธรรม (จิตสัมผัส รู้ ชั่ว ดี เลว เหตุการณ์ล่วงหน้า) ปัญหาทางโลกทุกคนมีอยู่แล้วจาก พ่อแม่ แต่ขาดปัญญาทางธรรม ถ้าได้จะประสบแต่ความสำเร็จ สมบูรณ์ พูนสุขทุกอย่าง เพราะบุญ คือขุมทรัพย์ ลาภยศจะมาเอง แล้วยังช่วยผู้อื่น ครอบครัวได้ด้วย (กรรมเวรแก้ไขได้โดยการขอขมากรร และส่งวิญญาณด้วยการสร้างพระสะดุ้งมารขนาด ๓ นิ้ว ๕ นิ้ว เป็นการต่อชะตาชีวิต)
ถ้าเจ้ากรรมนายเวรจากส่วนหนึ่ง ส่วนใดของร่างกายบริเวณที่เจ็บป่วย ได้อโหสิกรรมจะหายเจ็บป่วยทันที ถ้าเป็นโรคหัวใจวิญญาณจะอยู่บริเวณนั้น

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บุญกุศล คือ อริยทรัพย์

ชาวโลกรู้จักแต่ทำการค้า เพื่อเพิ่มทรัพย์สมบัติเก็บไว้ให้บุตรหลานไม่รู้จักสร้างสมบุญบารมี เพื่อให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่บุตรหลาน ทรัพย์สมบัติเป็นรูปธรรมที่มองเห็น บุญกุศลเป็นอริยทรัพย์ที่มองไม่เห็น การเก็บทรัพย์สมบัติไว้ให้บุตรหลาน ก็ไม่แน่ว่าบุตรหลานจะสามารถรักษาไว้ได้ถ้าหากบุตรหลานอกตัญญู ไม่สืบทอดเจตนารมณ์ รู้แต่ใช้ รู้แต่ผลาญ ไม่ยอมประกอบอาชีพ การเก็บสมบัติไว้ให้บุตรหลานมากเกินไป กลับจะเป็นโทษแก่บุตรหลาน ภาษิตว่า “สอนลูกหนึ่งวิชา ดีกว่าให้ทองพันตำลึงแก่ลูก” ซึ่งเป็นการเตือนใจพวกปู่โสมเฝ้าทรัพย์
การสร้างกุศลเพื่อให้บุตรหลานเจริญ เป็นอริยทรัพย์ที่มองไม่เห็นผู้ที่สร้างสมบุญกุศลย่อมได้บุตรหลานที่ดี ฉลาด และกตัญญู เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ภาษิตกล่าวว่า “ลูกหลานมีบุญวาสนาของเขาเองอย่าเป็นวัวควายให้ลูกหลาน” ดังนั้นจงให้ความสำคัญแก่อริยทรัพย์ที่เป็นนามธรรมคือ บุญกุศล
อนึ่งการทำบุญสร้างกุศล พึงจำไว้ว่าปัจจัยเงินทอง หรือสิ่งของที่บริจาคจะต้องได้มาอย่างบริสุทธิ์ ถูกต้องไม่เป็นเงินที่ได้มาโดยการประกอบอาชีพต้องห้าม ดังนี้
๑. ค้าขายมนุษย์
๒. ค้าขายสัตว์มีชีวิต
๓. ค้าขายอาวุธ เครื่องมือฆ่าประหัตประหาร
๔. ค้าขายยาพิษ
๕. ค้าขายยาเสพติด ของมึนเมาอันทำลายสติและชีวิต
“มิจฉาวณิชชา” การค้าขาย ๕ อย่างนี้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติมิให้อุบาสก อุบาสิกา กระทำโดยเด็ดขาด

ปล่อยสัตว์ชีวิตยืน

โดย.. กังเต็งกุ่ย
นายเล้าเก้งเป็นคนสมัยราชวงศ์หมิง บิดาเขาเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นหัวหน้ากรมราชทัณฑ์ เล้าเก้งตอนเยาว์วัยร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยเป็นประจำ พี่ชายทั้งห้าของเขาล้วนมีอายุสั้น ด้วยเหตุนี้ หัวหน้ากรมราชทัณฑ์จึงเป็นห่วงใยต่อบุตรชายคนเล็กสุดมาก เขาได้เชิญหมอดูให้มาพยากรณ์หลายท่าน โชคไม่ดีทุกคนต่างพูดว่าพ้นจากอายุ ๑๙ ได้ยาก
บังเอิญมีหมอดูมาจากเสฉวนเรียกว่า จิวสือเหลียน มายังเมืองหลวงท่านหัวหน้ากรรมราชทัณฑ์ก็รีบเชิญให้มาดูดวงชะตาของ เล้าเก้ง หลังจากดูดวงชะตาของเล้าเก้งแล้วก็พูดว่า “เธอจะผ่านด่านอายุ ๑๙ ลำบากแต่ก็อย่าสิ้นหวังเสียทีเดียว ให้ขยันสำนึกบาปกรรม ทำบุญสร้างกุศล ก็อาจผ่านพ้นไปได้”
เล้าเก้งตอนนี้อายุเพียง ๑๗ ปีได้ฟังคำของจิวลือเหลียนแล้ว เขาก็ตั้งใจไม่ทำบาป แล้วยังหมั่นทำความดีสร้างกุศลมากมาย โดยเฉพาะเขานำเอาตารางกุศลของท่านศาสดาไท้เสียงเล้ากุง มาเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติทุกๆ วัน จะสำรวจสิ่งที่ได้ทำความดีขึ้นครั้งหนึ่งก็จะเขียนวงกลมบนฝาผนังทางทิศตะวันออกด้วยสีแดง ถ้าเกิดคิดชั่วก็เขียนวงกลมด้วยสีดำทางทิศตะวันตก สิ่งที่ทำมากคือไม่ฆ่าสัตว์ทั้งยังปลดปล่อยสัตว์จำนวนมาก ไม่กล้าขี้เกียจ ปฏิบัติอยู่ ๓ ปี เขาก็ผ่านด่านลำบากอายุ ๑๙ ปีไปได้
มีวันหนึ่งเขานั่งเรือจะข้ามแม่น้ำแยงซี เห็นชาวประมงคนหนึ่งจับเต่าดำตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เล้าเก้งเห็นแล้วก็เกิดใจเมตตา จึงขอซื้อมาปล่อย เต่าดำตัวนั้นรู้ ก็ยังว่ายน้ำติดตามเรือมาได้ ๕-๖ ลี้ เหมือนมีเยื่อใยไม่ยอมจาก ในคืนนั้นขณะที่เล้าเก้งค้างแรมที่โรงแรมก็ได้ฝันเห็นนักพรตใส่เสื้อสีดำ ที่อ้วนเตี้ยคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “ คุณชายสร้างบุญกุศลมาตลอดสามปี ไม่ขี้เกียจ ตอนนี้ท่านก็มีอายุยืนยาวแล้ว แต่ร่างกายอ่อนแอ ก็ไม่พ้นจากอากาศร้อนเย็นที่อันตรายได้ ข้านักพรตอยากจะถ่ายทอดเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ให้นำไปปฏิบัติก็จะปกป้องให้เป็นสุข ปราศจากโรคภัย” พูดจบก็สอนวิธีหายใจให้แก่เล้าเก้ง เมื่อเล้าเก้งตื่นก็รู้ว่าเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์มาตอบแทนคุณ และก็ฝึกฝนตามวิธีที่ได้ฝันมา ปรากฏว่านับวันร่างกายก็แข็งแรงดีขึ้นตามลำดับ
ภายหลังก็ได้เชิญหมอดูจิวลือเหลียนมายังเมืองหลวงอีกเพื่อตอบแทนพระคุณเมื่อครั้งก่อนที่สั่งสอน คืนนั้นก็ได้เข้านอนกับเล้าเก้งด้วย จิวลือเหลียนตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนรู้สึกว่าเล้าเก้งหายใจแผ่วเบามาก เช้าวันรุ่งขึ้นหมอดูจิวก็พูดกับหัวหน้ากรมราชทัณฑ์ว่ายินดีกับท่านด้วย หลายปีมานี้คุณชายของท่านเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เมื่อคืนข้านอนกับเขา จึงรู้ว่าเขาได้ฝึกการหายใจแบบเต่า ไม่เพียงทำให้ร่างกายแข็งแรงยังทำให้อายุยืนด้วย นี่คือผลสนองจากการบำเพ็ญกุศล ต่อมาเล้าเก้งมีอายุถึง ๙๘ ปี ลูกหลานโด่งดัง ซึ่งตรงกับคำทำนายของจิวลือเหลียน

ฆ่าชีวิตทำลายดวงดี

โดย.. เซี้ยงง้วน
เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องจริง ข้าพเจ้าเห็นมากับตาตนเอง เรื่องเป็นอย่างนี้คือ บ้านข้าพเจ้าอยู่ข้างศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งศาลเจ้านี้มีจิตเมตตาช่วยเหลือชาวบ้าน เมื่อท่านประสบเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ศาลเจ้าก็มีวิธีการช่วยเหลือท่านอย่างแน่นอน แต่ขอบอกกล่าวไว้ก่อน ศาลเจ้านี้เขาไม่รับเงินรับทองแม้แต่เล็กน้อย ถ้าหากท่านศรัทธาจะใช้เงิน ทางศาลเจ้าก็จะบอกท่านให้ไปช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
มีอยู่วันหนึ่ง มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปีเศษ ได้มาที่ศาลเจ้านี้เพื่อให้ทางศาลเจ้าช่วยแก้ไขดวงชะตา เธออ้างว่าระยะหลังนี้ดวงชะตาของเธอแย่มาก จะทำอะไรก็มีแต่ปัญหาลูกๆ ของนางก็เจ็บป่วยเป็นประจำ ชีวิตประจำวันก็มักมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นเสมอ จึงมาของการชี้แนะว่าจะมีสาเหตุจากอื่นๆ อะไรหรือไม่
เมื่อผ่านการคำนวณชะตาราศีของเจ้าแล้ว พบว่าดวงชะตาช่วงนี้ควรเป็นเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดจึงจะถูก คงต้องไปตรวจที่อยู่ ว่าแล้วเจ้าก็ไปสำรวจที่อยู่อาศัยก็ไม่พบบรรพชนหรือวิญญาณร้ายใดทำเรื่อง ในที่สุดก็หันมาสำรวจที่ตัวผู้หญิง แล้วก็พูดออกมาว่า สาเหตุอยู่ที่ตรงนี้เอง จึงถอนหายใจพูดว่าเธอปกติชอบฆ่าสัตว์มากเกินไปไม่ว่าจะเป็น เต่า งู เป็นต้น ถึงแม้ว่าวิญญาณของสัตว์เหล่านี้จะเล็ก แต่เมื่อถูกเธอฆ่ามัน เป็นจำนวนมาก พวกมันเมื่อถูกฆ่าวิญญาณแค้นยังไม่ละลายหายไป ทั้งล้วนอยู่ข้างๆ ตัวเธอ กลายเป็นควันดำคลุมตัวเธอไว้จึงปิดกั้นดวงชะตาของเธอ ถึงแม้จะไม่เกิดเรื่องใหญ่โตอะไร แต่ต่อไปควรระมัดระวังอย่าได้กระทำอีก
หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ดึงมือเธอมาอีกมุมหนึ่งของศาลเจ้า ที่แท้เธอชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม้แต่พวกมดที่สนามหน้าบ้านจะไม่รบกวนทำร้ายเธอก็ตาม เธอก็เที่ยวเดินหารังมดแล้วเอาน้ำร้อนราดจนตาย เวลาเดินไปพบเห็นผีเสื้อก็จะไล่ตี เห็นหนอนตัวเล็กๆ เธอก็จะตีให้ตาย นี่ไม่ต้องสงสัยเลยเบื้องบนเมตตาให้มาเกิด หนอนแมลงก็เจ็บปวดเหมือนกัน มีหนอนบางอย่างไม่ทำร้ายเธอ เธอก็ยังต้องไปทำให้มันตาย อย่างนี้ถือว่าไม่เมตตา ใจฟ้าเมตตา คนไม่เมตตา เบื้องบนก็จะทำลายบุญตัดอายุ แล้วก็ส่งเคราะห์ภัยมาให้ นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนหวังว่า พวกท่านจะเอาเรื่องนี้เป็นสิ่งควรสังวรณ์

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มงคลชีวิตเก้าประการ

1.ซื่อตรง
บุคคลใด หรือฝ่ายใดก็ตาม ถ้าขาดความซื่อตรงเสียแล้ว ก็จะเกิดความเสื่อมโทรมเสียหาย เกิดเรื่องเดือดร้อน เกิดความไม่สงบ เกิดความระแวงไม่ไว้วางใจ ขาดความเชื่อถือ ขาดความนิยม เกิดความโกรธเคือง อาฆาตแค้น เกิดความเกลียดชัง ดูถูกดูหมิ่นกัน กฎธรรมชาติมีอยู่ว่า บุคคลใด ซื่อตรงเป็นบุคคลที่น่าคบค้าสมาคมมีเสน่ห์ ใครๆ ก็ชอบ คบค้าสมาคมกับคนซื่อตรง ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ฉะนั้น ขอให้ถือความซื่อตรงเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต
2. กตัญญู กตเวที
คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ผู้มีพระคุณแก่เรา สรุปโดยย่อมี 5 ประการ
- พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี และประพฤติตนเป็นตัวอย่าง
- ชาติ กษัตริย์และรัฐธรรมนูญ ผู้ให้สิทธิคุ้มครองความยุติธรรม ความมีหลักฐาน ถิ่นที่อยู่อาศัย
- บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดูรักษาให้ความสุขความเจริญและหลักฐานของชีวิต
- ครูบาอาจารย์ ผู้สั่งสอนศิลปะวิทยาการทั้งหลายให้ความเจริญรุ่งเรืองและป้องกันในทิศทั้งหลาย
- ญาติ พี่น้อง มิตรสหาย เจ้านาย ผู้บังคับบัญชาเหนือตน ผู้ให้ความอุปการะหรือเลี้ยงดู สนับสนุน ส่งเสริมให้เราเจริญรุ่งเรือง
ผู้มีพระคุณทั้ง 5 ประการดังกล่าว ผู้เจริญแล้วทั้งหลายต้องรู้จักบุญคุณและหาทางสนองตอบบุญคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่อย่าให้ใครมาตำหนิว่าเป็นคนเนรคุณ หรือลูกทรพี ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ที่โลกต้องการบุคคลประเภทนี้นักปราชญ์ทั้งหลายท่านกล่าวสรรเสริญยกย่องว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เทวดาฟ้าดินย่อมคุ้มครองรักษาเสมอ เพราะฉะนั้น ขอให้ถือเรื่องความกตัญญูเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญของชีวิต
3. ขยัน
ความขยันเป็นเครื่องผลักดันชีวิตให้เจริญก้าวหน้าไปสู่ความมั่นคั่งบรรดาบุคคลสำคัญของโลกได้ประสบความรุ่งโรจน์ เพราะอาศัยความขยันเป็นเครื่องช่วยผลักดันชีวิต คือ
ขยันศึกษา คือ ศึกษาเล่าเรียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมีโอกาสศึกษาได้ตามฐานะ ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ เราเรียกว่าศึกษาตลอดชีวิตจนถึงวาระสุดท้าย
ขยันคิด คือคิดให้ถึงที่สุด หาทางก้าวหน้าอยู่เสมอ คิดสร้างสรรค์ คิดพัฒนา พลิกแพลงให้ดีขึ้น และคิดแก้ไขปรับปรุงเองว่ามีจุดดี หรือด้อยอย่างใด คิดให้ทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์นั้นๆ
ขยันพูด “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี” ข้อนี้คือพูดให้ดีที่สุด พูดให้ถูกกาลเทศะ พูดให้เป็นประโยชน์มากที่สุด คิดให้ถ้วนถี่ก่อนพูด ทางพระท่านว่า “ปิยวาจา” หรือ “มธุรสวาจา”
ขยันทำ คือทำให้ดีที่สุดจนสุดความสามารถที่สามารถทำได้ จงทำเวลาทุกๆ นาที ให้เป็นประโยชน์ให้เกิดประโยชน์ ให้มากที่สุด
ขยันหา คือ หาความรู้ หาความชำนาญ หาความดี ความชอบ หาทางก้าวหน้า หาทรัพย์สินเงินทอง หาหลักฐาน หามิตรสหาย หาพระสงฆ์ หานักปราชญ์ผู้รู้ดี รู้ชอบ หาชื่อเสียง หาประโยชน์ทางสุจริต หาความเจริญ เป็นต้น อย่าหายใจทิ้งไปวันๆ ทางพระท่านตำหนิว่าเป็น “โมฆะบุรุษ” บางคนท่านให้ศัพท์ค่อนข้างรุนแรงว่า “เสียชาติเกิด” หรือ “รกโลก” ฉะนั้นจึงขอให้ถือความขยันเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต
4. สะอาด
ความสะอาดทำให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เชื้อโรคเกิดจากความสกปรก เมื่อเรามีความสะอาดเชื้อโรคก็เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็มีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ บ้านเรือนที่สะอาดก็เป็นบ้านเรือนที่น่าอยู่อาศัย ใครๆ ก็ชอบบ้านเรือนที่สะอาดเสื้อผ้าที่สะอาดก็เป็นเสื้อผ้าที่น่าสวมใส่ น่าดู น่าชม ใครๆ ก็ชื่นชม ใครๆ ก็ชอบใส่เสื้อผ้าที่สะอาด
บุคคลใดเป็นคนสะอาด ก็เป็นคนที่น่าคบค้าสมาคม ยิ่งกว่านั้นความสะอาดยังส่อแสดงให้เห็นถึงชีวิตจิตใจ และบุคลิกภาพ โบราณท่านสอนว่า ดูวัดให้ดูฐาน (ส้วม) ดูบ้านให้ดูครัว วัดใดส้วมสะอาด แสดงว่าวัดนั้นพระขยัน วัดใดส้วมสกปรก แสดงว่าวัดนั้นพระขี้เกียจ บ้านใดครัวสะอาด แสดงว่าแม่ครัวหรือลูกสาวบ้านนั้นขยัน บ้านใดครัวสกปรก แสดงว่าแม่บ้านหรือลูกสาวบ้านนั้นขี้เกียจ เพราะฉะนั้น ขอให้ถือความสะอาดเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต
5. ใช้จ่ายพอสมควรแก่ฐานะ
ถ้าเราใช้จ่ายเกินฐานะเกินรายได้ก็จะมีแต่ความทรุดโทรมลงและพินาศล่มจม ในที่สุดก็ดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้มีคนเป็นจำนวนมากที่ต้องลำบากยากจนและเดือดร้อน เป็นหนี้สินเขาเพราะใช้จ่ายเกินฐานะ
จงประหยัดเพื่อใช้จ่าย แล้วใช้จ่ายเพื่อประหยัด จะมั่งมีเพราะประหยัด จะอัตคัดเพราะฟุ่มเฟือย รูรั่วนิดเดียวยังทำให้เรือใหญ่จมได้ จงอดกลั้น อดทน อดออม แล้วจะไม่อดตาย คนรวยเพราะทำตัวจน คนขัดสนเพราะทำตนร่ำรวย จงกินแต่พออิ่ม ชิมแต่พอดี เป็นหนี้แต่พอประมาณ อย่าเอาโรงแรมเป็นบ้าน อย่าเอาภัตตาคารเป็นครัว อย่ากินเกิน อย่าใช้เกิน รู้จักแก้จนด้วยการทำตัวต่ำ รู้จักลดขนาดความต้องการลง เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว พลาดไปหนึ่งครั้งพังไปนาน เพราะฉะนั้น ขอให้ถือการใช้จ่ายพอสมควรแก่ฐานะเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต
6. งดเว้นสิ่งให้โทษ
งดเว้นจากสุราเมรัย เครื่องดองของเมา ดื่มได้กินได้เพื่อเป็นยา
งดจากสิ่งเสพติดทั้งหลายทั้งปวง
งดการเล่นการพนันขันต่อต่างๆ ทุกกรณี
งดเข้าในสถานเริงรมย์ แหล่งอบายมุข ทั้งปวง
หากเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งให้โทษ ก็จะพาชีวิตของเราเสื่อมโทรมเสียหายพินาศเดือดร้อน ไม่เจริญก้าวหน้า เดินไปสู่ความหายนะ สู่ประตูคุกตะราง สู่ความตาย ฉะนั้นจึงขอให้ถือการงดเว้นสิ่งให้โทษเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต

7. ไม่ล่วงเกินผู้อื่นก่อน
เรื่องราวเดือนร้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้น การทะเลาะวิวาท ตีกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากัน เป็นต้น เนื่องมาจากการล่วงเกินกันก่อนเป็นมูลเหตุ ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ล่วงเกินกัน ยอมให้เป็น ให้อภัยเสียบ้าง คิดเสียว่าโลกทั้งผองพี่น้องกัน รู้รักสามัคคี ฯลฯ ฉะนั้นจึงขอให้ถือการไม่ล่วงเกินผู้อื่นก่อนเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต
8. งดติดต่อคบค้าสมาคมกับคนไม่ดี
การติดต่อกับคนไม่ดี เป็นบันไดแรกนำไปสู่เรื่องราวเดือดร้อนวุ่นวาย ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากการติดต่อซึ่งกันและกัน หากเราติดต่อกับคนไม่ดีก็จะมีแต่เรื่องยุ่ง ผิดหวัง เดือดร้อน เสียหาย เสื่อมโทรม พินาศ ขาดทุน หรืออาจถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้ ข้อสังเกตว่าคนใดไม่ดีคือ
คนดี ย่อมแสดงออก ซึ่งความดี คนชั่ว ย่อมแสดงออก ซึ่งความชั่ว
คนซื่อ ย่อมแสดงออก ซึ่งความชั่ว คนคด ย่อมแสดงออก ซึ่งความคด
คนเลวทราม ย่อมแสดงออก ซึ่งความเลวทราม
นิสัยของคนไม่ดี พอยกเป็นตัวอย่างได้ ดังนี้
- ไม่ซื่อตรง (คิดคดเสมอ)
- ไม่รักษาคำพูด (คำพูดที่ตกลงกันไว้)
- โกหก (ทำให้เกิดเรื่องเสียหาย เดือดร้อน)
- ปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ประเภท 18 มงกุฎ
- ยักยอก ฉ้อโกง เบียดบัง เอาเปรียบ
- ทรยศหักหลัง กินบนเรือน ถ่ายบนหลังคา
- ไม่ทำตามเงื่อนไขสัญญา
- ใช้เล่ห์เหลี่ยม แกล้งให้เดือดร้อนเสียหาย
- กลับกลอกหลอกลวงให้เสียหาย เดือดร้อน
- ขาดความเกรงใจ ไร้มารยาท บีบครั้นเอาเปรียบ
การดูคนดี คือ คิดดี ทำดี พูดดี คบคนดี และไปสู่ถานที่ดี
การดูคนชั่ว คือ คิดเรื่องชั่วๆ ทำเรื่องชั่วๆ พูดเรื่องชั่วๆ คบคนชั่วๆ และชอบไปสถานที่ชั่วๆ
เชื้อโรคเกิดจากความสกปรกฉันใด ความเสียหาย เดือดร้อนก็เกิดจากความไม่ดีฉันนั้น โบราณว่า หลีกสัตว์ร้ายให้พ้นวา หลีกคนชั่วช้าให้ย้ายบ้านย้ายเรือน ฉะนั้นจึงขอให้ถือการไม่คบค้ากับคนไม่ดีเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต
9. รู้จักหน้าที่ และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
คนเรามีหน้าที่ที่แตกต่างกัน เพศ วัย และการงาน ใครจะอยู่ในหน้าที่อะไรก็ตาม ก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เต็มศักยภาพความรู้ ความสามารถ โดยไม่มุ่งผลตอบแทนเกินไป ให้ทำหน้าที่ด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง ทีเรียกว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขขณะทำงานแต่คนส่วนมากมีแต่ความอยากได้ แต่ไม่อยากทำ อยากรวย อยากสบายแต่ไม่อยากทำ อยากได้ดีแต่ไม่ยอมสะสมความดี ฯลฯ
คนที่เสียชื่อเสียง เสียผู้เสียคน เสียอนาคต ถูกลงโทษ ลงทัณฑ์ ถูกปลด ถูกไล่ออก ถูกย้าย ถูกถอดยศถอดตำแหน่งหน้าที่การงาน ติดคุก ติดตะราง ตัวเองและครอบครัวเดือนร้อน ก็เพราะไม่รู้จักหน้าที่ ไม่ทำตามหน้าที่ ดูถูกหน้าที่ของตนเอง ละทิ้งหน้าที่ของตนเอง เพราะฉะนั้น ขอให้ถือการรู้จักหน้าที่และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเป็นหลักในการปฏิบัติประจำวันของชีวิตอีกข้อหนึ่ง
หากท่านผู้ใดสามารถปฏิบัติได้ครบทั้งเก้า ประการี้ รับรองได้ว่าชีวิตก็มีแต่ความสุข ความเจริญ อยู่ที่ไหนใครก็รัก จากไปก็เสียดาย ตายไปก็มีคนร้องไห้คิดถึง

วิธีอยู่กับโลก

มีสิ่งแวดล้อมอยู่ชนิดหนึ่งที่วนเวียนอยู่กับโลกนี้ และส่งผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรงยาก ที่ใครจะหลีกเลี่ยงได้ สิ่งแวดล้อมชนิดนี้ท่านเรียกว่า โลกธรรม แปลว่า สิ่งที่มีอยู่ประจำโลก ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๘ อย่าง คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข และทุกข์ สำหรับ มนุษย์เรานั้น เมื่อกระทบกับโลกธรรมแล้วก็มักจะตั้งรับด้วย อาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ๓ อย่างนี้ คือ
๑.ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือ เมื่อได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ และได้สุข ก็ปล่อยใจ ให้เพลิดเพลินกับสิ่งที่ได้รับ และเมื่อประสบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา และได้รับ ความทุกข์ ก็ปล่อยให้จิตใจห่อเหี่ยวเศร้าสร้อย ไม่ได้คิดที่จะทำจิตให้เข้มแข็งแต่อย่างใด การตั้งรับ แบบนี้ จะต้องตกอยู่ในวงเวียนแห่งความดีใจและเสียใจตลอดเวลา และถ้าผู้ประสบกับโลกธรรมนั้นเป็น หัวหน้าคนอื่นด้วยแล้ว ก็ย่อมจะพลอยทำให้คนอื่นวุ่นวายไปด้วย
๒. ปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่ตีกรอบเฉพาะที่จิตใจตนเอง การตั้งรับโลกธรรมวิธีนี้ยอมให้ โลกธรรมครอบงำใจได้ คือ ยังดีใจเสียใจอยู่ เพียงแต่ไม่แสดงความรู้สึกออกมา คงรักษา อากัปกิริยาไว้ด้วยท่าทีหนักแน่นสงบนิ่ง ผู้ตั้งรับโลกธรรมด้วยวิธีนี้อาจจะวุ่นวายไปกับโลกบ้าง แต่ไม่มากนัก ซึ่งก็น่าชมเชยกว่าบุคคลในข้อแรก
๓. ปรับจิตใจให้ยอมรับความจริง การตั้งรับโลกธรรมโดยวิธีนี้สอดคล้องกับหลักธรรม ที่ว่า โลกธรรมนั้นเมื่อเกิดขื้นแล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเอง ไม่จีรังยั่งยืน ไม่ใช่ของที่ควร ยึดมั่นถือมั่น เมื่อปรับจิตใจได้เช่นนี้โลกธรรมก็ไม่สามารถครอบงำได้อีกต่อไป เขาจึง สามารถ ใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขในทุกสถานการณ์ และพลอยทำให้คนอื่นได้ปกติสุขนั้นไป ด้วย บุคคลในประเภทหลังนี้ย่อมมี คุณค่าน่าชมเชยมากกว่าบุคคล ๒ ข้อที่กล่าวแล้วคนที่ ปรับจิตใจให้ยอมรับความจริงได้เช่นนี้ จะพบแต่ความปลอดโปร่ง ความเป็นอิสระทางจิตใจ อันเป็นมงคลของชีวิตประการหนึ่ง ดังคำพระที่ว่าจิตของผู้ใด กระทบโลกธรรมแล้ว ไม่เศร้า โศก ไม่เศร้าหมอง มีความปลอดโปร่ง นั่นแหละคืออุดมมงคล

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คำเทศนาของเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

“ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใดเจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือ บารมีของตนลงทุนไปก่อนเมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วยมิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมาก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง
จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า”

หมายเหตุ.- สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิต หลังจากที่ท่านล่วงลับไปแล้วเมื่อร้อยกว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อาการปวด ที่อาจเกิดจากกรรมเก่า

      การปวดศีรษะอาจเกิดจากได้เคยทำบาปไว้แต่ภพปางก่อน เช่น ทำร้ายสัตว์อื่นโดยการตีหัว หรือทุบหัวปลาไว้ เพราะปลาช่อนก็มีอายุขัย วิญญาณมาสิงอยู่บริเวณศีรษะแบบเดียวที่เราได้ทำไว้ ถ้าเป็นไมเกรน เพราะวิญญาณตามมาพบ โกรธที่เคยเป็นหนี้ชาติไหนไม่รู้ ๑๐ ตำลึง จะตีบริเวณศีรษะไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่ง เรียกว่า ไมเกรนต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือทำบุญใส่บาตรอาหาร ๑ ชุด ด้วยพระสะดุ้งมาร ๓ นิ้ว หรือ ๕ นิ้ว ดอกไม้ธูปเทียน ส่งวิญญาณขึ้นศาลา เป็นวิธีแก้กรรมที่ต้นเหตุ ถ้าแก้ปลาช่อนต้องปล่อยปลาช่อนหนึ่งตัว หลังจากใส่บาตรกรวดน้ำแล้ว ทำให้เสร็จวันเดียวกัน หาหมอเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ผลช้า ถ้านั่งสมาธิกรรมฐาน สติปัฏฐาน ๔ แก้ได้เร็วและหายขาดที่ยังไม่หายขาด เพราะเจ้ากรรมนายเวรชุดใหม่เข้ามาแทนที่
         ก่อนแก้กรรมใส่บาตร ให้จุดธูป ๓ ดอกกลางแจ้ง สวดนะโม ๓ จบ ข้าพเจ้าขอขมากรรมเจ้ากรรมนายเวร ขอให้อโหสิกรรม ให้ขาดจากกันกรณีที่ดวงตกมาก ขอแผ่บุญให้ตนเองให้มากๆ ควรสวดมนต์เท่าอายุ เลยอายุ มีเวลาไปปฏิบัติด้วยที่วัด ยุบหนอ พองหนอ จะเกิดผลเร็ว โทสะน้อยลง ควรแผ่เมตตาให้มากๆ วันละ ๑๐ - ๓๐ ครั้ง ดังนี้การแผ่เมตตาที่ได้ผลต้องกรวดน้ำลงดินทุกครั้ง วันละ ๑๐๐ ครั้ง เจ้ากรรมนายเวรจะหาย ๑๐๐ เท่า ๑๐๐ วิญญาณ
            เวลาทำบุญทุกครั้ง ตั้ง นะโม ๓ จบ กุศลที่ลูกได้ทำแล้ว ขอถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ขอให้ทุกพระองค์นำส่งบุญให้ข้าพเจ้ามีเดช ปัญญา โภคะ ขอให้สมหวังสมปรารถนาทุกเรื่อง ขอให้มีบุญบารมีเต็มขั้น เกิดสภาวธรรม ตามบุญวาสนาได้ทำมาจากทุกภพ ทุกชาติโดยเร็วเทอญ และอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทุกภพชาติ (วิญญาณ) ศัตรูหมู่มาร หมู่พาล (มนุษย์-หุ้นส่วน เพื่อน คนในครอบครัว) ทุกภพทุกชาติ (เอ่ยชื่อได้ยิ่งดี) ขอให้อโหสิกรรม ขอให้ขาดจากกัน ณ เดี๋ยวนี้เทอญ ขอให้อุปถัมภ์ค้ำจุนข้าพเจ้า
           ถ้าทำบุญด้วยข้าวสารเป้นกระสอบ หรือถมทราย ดิน ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ผลบุญนี้ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวยเหมือนเมล็ดข้าวสาร เม็ดทราย เม็ดดิน เจ้ากรรมนายเวรตามเมล็ดข้าวสาร ตามเม็ดทรายดิน ขอให้ได้รับ และขอให้อโหสิกรรมหลุดขาดจากกัน ณ บัดนี้ เดี๋ยวนี้เทอญ ขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความเจริญรุ่งเรือง พบแต่ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู


การปวดหลัง ที่เกิดจากกรรมเก่า

        การปวดหลัง เกิดจากกรรมที่เคยก่อไว้ในอดีตชาติปางก่อนให้แก้โดยจุดธูป ๓ ดอก ขอขมากรรมกลางแจ้ง ตั้งนะโม ๓ จบ ขอขมากรรมว่าจะใส่บาตร ๑ ชุด พร้อมพระเงินพระทองอย่างละ ๑ องค์ ดอกไม้ธูปเทียนให้ไปเกิดบนศาลา ขออโหสิกรรมให้ขาดจากกันเดี๋ยวนี้ ให้หายเจ็บป่วย กรวดน้ำทุกครั้งหลังจากใส่บาตรทันที วิญญาณคอยรับอยู่ ตั้งนะโม ๓ จบ ข้าพเจ้าได้ทำบุญใส่บาตรด้วยพระเงินพระทองขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยผูกพัน หรือทำกรรมต่อกันไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง แก้เฉพาะอย่างห้ามไม่ให้รวมเดี๋ยวจะไม่ได้รับ ถ้ายังคงเจ็บป่วยให้แก้ที่ละอย่าง ทีละครั้ง ถ้าจำได้เคยทำอะไรไว้ ก็ให้แก้ก่อนล่วงหน้าก็ดี เจ้ากรรมนายเวร (วิญญาณ) จะได้ขึ้นไปบนศาลา กรรมนี้อาจจะตามมาทันชาตินี้อีก ๑๐ ปี หรือ ๒๐ ปี หรือภพหน้า

โจรกลับใจ

ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่พลั้งพลาดไปทำความชั่วเป็นมหาโจร จะสามารถกลับตัวมาเป็นคนดีได้หรือไม่ พระองคุลิมาล เมื่อครั้งก่อนบวชท่านได้ฆ่าคนเป็นพัน ใครได้ยินชื่อก็ต้องหลบกัน ต้องหนีกันเป้นพัลวันเลยทีเดียว แต่เมื่อท่านได้พลกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครูที่ไม่มีใครเสมอเหมือนท่านก็คิดได้ จึงเลิกเป็นโจรทันที ตั้งใจเพียรพยายามปฏิบัติธรรมอย่างเดียวและก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในช่วงแรกที่ท่านบวชใหม่ๆ ใครๆ ก็ไม่เชื่อว่าท่านบวชจริง เพราะว่าฆ่าคนมามาก บิณฑบาตก็ได้บาตรว่างเปล่ากลับวัด และยังถูกขว้างด้วยก้อนหิน ท่อนไม้ ใส่อีก เรียกได้ว่าเลือดอาบตัวเดินกลับวัด แต่ท่านก็อดทน มีอยู่วันหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้สติว่า องคุลิมาลความเจ็บปวดที่ได้รับขณะนั้นเทียบกับเมื่อก่อน ทำไว้กับคนอื่นเทียบกันได้ไหม อย่างไหนหนักกว่ากัน ท่านตอบว่าทำไว้กับคนอื่นหนักกว่านี้มากพระเจ้าค่ะ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสให้กำลังใจให้อดทนต่อไป พระองคุลิมาลรับปากแล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อไป อย่างไม่ท้อถอย แล้วท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ... “เมื่อคบกับคนพาลก็เป็นคนพาล เมื่อได้พบกับกัลยาณมิตรจึงกลับใจ หันมาตั้งใจทำความดีจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้” พวนเราเองก็ไม่ควรประมาท คบแต่กัลยาณมิตรเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของพวกเราทุกคน

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทำบุญกรวดน้ำ

ชาวพุทธเราเมื่อพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ผู้มีพระคุณ ผู้เป็นที่รักเป็นเพื่อน เป็นญาติ เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อเรานึกถึง เราก็จะทำบุญใส่บาตรกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ ด้วยบุญที่เราทำและการตั้งจิตกรวดน้ำอุทิศ ส่วนกุศลไปให้ผู้ล่วงลับนี้ ผู้ล่วงลับหากเสวยสุขอยู่ในวิมารแดนสวรรค์เมื่อท่านตั้งใจอนุโมทนารับบุญนั้น อาจบันดาลให้ท่านนอยู่เสวยสุขได้ยาวนานขึ้นหรือเลื่อนชั้นไปสวรรค์ เสวยสุขเป็นเทวดาชั้นสูงขึ้น ถ้าผู้ล่วงลับกำลังทนทุกข์ทรมานในนรกบางขุมหรือเปรตบางจำพวก เมื่อตั้งจิตรอธิษฐานอนุโมทนารับบุญที่ญาติกรวดน้ำอุทิศไปให้ แล้วก็อาจจะพ้นเวรจากการตกนรก จากการเป็นเปรต ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นต้นๆ ได้ มีบางท่าน ครบรอบปี ที่ญาติสนิทเสียชีวิตก็ได้ซื้อขนมปัง ผลไม้กระป๋องและนมกล่องเตรียมไว้ในรถตั้งแต่ตอนเย็น วันรุ่งขึ้นระหว่างขับรถไปทำงานเห็นพระเดินบิณฑบาตรีบจอดรถแอบข้างทาง นำของที่เตรียมมาใส่บาตร แล้วขับรถไปทำงานต่อ ปรากฏว่าลืมกรวดน้ำทั้งวันมานึกได้เมื่อตอนจะนอน จึงลุกขึ้นมากรวดน้ำในตอนนั้น เสร็จแล้วก็เกิดความสงสัยว่าผู้รับจะได้ผลบุญไหม ก็ได้นะ แต่คงไม่มากเท่ากับทำบุญเสร็จปุ๊บ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลปั๊บ เพราะช่วงนั้นใจของผู้อุทิศยังปิติอยู่ในบุญ พลังบุญจะมากกว่า หากทำบุญแล้วเลยไปทำโน่นทำนี่ต่อ ถ้ามีเรื่องทำให้ใจขุ่นมัวแล้วมากรวดน้ำ ใจระหว่างที่กรวดน้ำอาจจะติดอยู่กับเรื่องที่ทำให้ขุ่นเคือง ไม่มีสมาธิ พลังบุญก็ส่งได้น้อยลง เพราะฉะนั้นแล้ว ทำบุญเสร็จรีบกรวดน้ำเลยดีว่า และหมั่นทำบุญบ่อยๆ จะได้มีโอกาสกรวดน้ำบ่อยๆ

อโหสิฯ ปรารถนา หลังปฏิบัติธรรม

คำขออโหสิกรรม (หลังการปฏิบัติธรรม)
ข้าพเจ้าของดโทษและอโหสิกรรมให้แก่ เจ้ากรรมนายเวรที่ท่านเคยล่วงเกินข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลนี้ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี โดยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม ต่อพระรัตนตรัย มารดา บิดา ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ท่านได้โปรดงดโทษ และอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เทอญ.

การตั้งคำความปรารถนา (หลังการปฏิบัติธรรม)
ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศล ที่เกิดจากการเจริญภาวนานี้ จงเป็นพลวปัจจัย เป็นนิสัยตามส่งให้ข้าพเจ้าเกิดความสุข ความเจริญ และเกิดปัญญาญาณทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า ตลอดชาติอย่างยิ่ง จนบรรลุถึงพระนิพพานในอนาคตกาลนั้น เทอญ.

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

คำอธิษฐานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

คำอธิษฐานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
คาถาแผ่เมตตา กรวดน้ำ ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต)

อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้สะสมอบรมมาแล้วตั้งแต่ในอดีตก็ดีปัจจุบันก็ดีได้แก่การรักษาศีล บริจาคทาน บำเพ็ญภาวนา สวดมนต์บูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และการสงเคราะห์โดยทั่วไป บุญกุศลทั้งหลาย ขออุทิศให้แก่ บิดา มารดา ญาติกา ครูบาอาจารย์ ผู้มีอุปการคุณ บุตร-ภรรยา-สามี มิตรสหาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวร พญายมราช นายนิรยบาล ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย แม่พระโพสพ แม่ซื้อผู้เรืองฤทธิ์ เทพยดาตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา เบื้องบน จนถึงที่สุดชั้นพรหมเบื้องล่าง ตั้งแต่ชั้นอเวจีจนถึงโลกมนุษย์ โดยรอบสุดขอบเขตจักรวาล อนันตจักรวาล ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลนี้โดยทั่วกัน ท่านที่มีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ ท่านที่มีสุขขอให้มีสุขยิ่งๆ ขึ้นไป โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าเจ้าได้ล่วงเกินกระทำความผิด ตั้งแต่ในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี ทั้งที่ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงได้อโหสิกรรม ยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นไป ด้วยอำนาจกุศลผลบุญนี้ จงเป็นพละปัจจัยนิสัย นำส่งให้ข้าพเจ้ามีสติ รู้ตัวมีปัญญารู้คิด มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลมว่องไว พิจารณาเห็นแจ้งในสัจธรรมจนถึงที่สุดของความพ้นทุกข์ คือพระนิพพานในชาติปัจจุบันตลอดชาติอย่างยิ่งเทอญ
(ใช้แผ่เมตตา กรวดน้ำ หลังจากทำบุญ ออกจากสมาธิ หรือก่อนนอน)

คำอธิษฐานขอพร

ข้าพเจ้า ขออาราธนาพระบารมี ๓๐ ทัศ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จนิพพานไปแล้ว มากยิ่งกว่าเม็ดกรวดเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔ ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ พระธัมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ พระบารมี พระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย และพระบารมีขององค์พระสมณะโคดมบรมครู ขอได้ส่งพลังมายังตัวข้าพเจ้า จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัย ไข้เจ็บ และสรรพเคราะห์ทั้งหลายในกายของข้าพเจ้าจงหายไปสิ้นทั้งหมด
(ปรารถนาสิ่งใด ขอจงตั้งจิตอธิษฐานตามที่ต้องการ)
ฯ ล ฯ
ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะต่ออุปสรรคและมารทั้งหลาย
ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวปลอดภัยจากราชภัยทั้งปวง
ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย
ขอให้การประกอบอาชีพของข้าพเจ้าประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าตลอดไป
ขอให้ข้าพเจ้าสมบูรณ์พร้อมด้วยอำนาจและตบะเดชสมบัติธนสารสมบัติและบริวารสมบัติ
ขอให้ข้าพเจ้าประสบความสุข ความเจริญ ความสำเร็จตามที่ข้าพเจ้าปรารถนาทุกประการ
หากข้าพเจ้ายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน ชาติหน้าขอให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดในตระกูลที่ดี เป็นผู้มีธรรมะบริสุทธิ์ สมบูรณ์พูนสุขทุกประการเทอญ
ฯ ล ฯ

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

คาถาบูชาดวงชะตา (ของเก่า)

นะโม เม สัพพะเทวานัง
สัพพะคะระหะ จะ เทวานัง
สุริยัญจะ ปะมุญจะถะ
สะสิ ภุมโม จะ เทวานัง
วุโธ ลาภัง ภะวิสสะติ
ชีโว สุกะโร จะ มะหาลาภัง
โสโร ราหูเกตุ จะ มะหาลาภัง
สัพพะภะยัง วินาสสันติ
สัพพะทุกขัง วินาสสันติ
สัพพะโรคัง วินาสสันติ
ลักขะณา อะหัง วันทามิ สัพพะทา
สัพพะเทวา มัง ปาละยันตุ
สัพพะทา เอเตนะ มังคะละเตเชนะ
สัพพะโสตถี ภะวันตุ เมฯ

เพื่อเสริมดวงชะตา จงผูกดวงชะตาของตน พร้อมเขียนชื่อนามสกุล ของตนไว้ใต้ดวงชะตา หรือดวงที่เรียกว่า “ดวงพิชัยสงคราม” แล้วเอาดวงชะตาบรรจุหรือวางไว้ข้างฐานพระ เมื่อจะบูชาดวงชะตา พึงสวดคาถานี้เพื่อจะได้เกิดลาภสักการะ เป็นสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลเลิศดีนักแลฯ


คำขอขมาโทษ (กรรมชั่ว)



กรรมชั่วอันใด ที่ข้าพเจ้าทำไว้ ด้วยกาย วาจา ใจ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ เพราะความไม่รู้ เพราะความหลง เพราะความงมงาย เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ จงยกโทษ โปรดให้ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกยากลำบากเข็ญใจ ความทุกข์ขออย่าได้ ความไข้ขออย่าให้มี ขอให้มีความสุขสวัสดีมีชัย หายทุกข์ หายโศก หายโรค หายภัย หายอุบาทว์ เสนียดจัญไร อันตรายทั้งหลาย จงเสื่อมไป สิ้นไป สูญไป หายไป ข้าพเจ้าจะปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สมปรารถนา นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
จงตั้งจิตอธิษฐานตามความปรารถนาที่ต้องการตามใจชอบ)

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

ความรักและคนพิเศษ

การที่เรารักใครสักคนอาจไม่ต้องการเหตุผล
การที่เรารักใครสักคนอาจไม่สนว่าเขาเป็นใคร
การที่เรารักใครสักคนอาจไม่แน่ว่าเขาจะรักตอบ
การรักใครสักคนอาจไม่แน่ว่าเราจะสมหวัง
การรักใครสักคนอาจไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
การรักใครสักคนไม่ได้หมายว่าเธอจะแต่งงานกับเรา
การรักใครสักคนไม่ได้หมายว่าเราทั้งคู่จะเหมือนหรือแตกต่างกัน
การรักใครสักคนอาจไม่จำเป็นต้องอธิบายเป็นภาษา
การักใครสักคนอาจจะทำให้เราเสียใจและผิดหวัง
การรักใครสักคนอาจจะทำให้เราเสียน้ำตา
การรักใครสักคนไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ใกล้กัน
การรักใครสักคนไม่ได้หมายถึงการครอบครองเป็นเจ้าของ
การรักใครสักคนไม่ได้หมายความว่าเราต้องคิดเหมือนกัน

ชีวิตมันสั้น
การที่เรารักใครไม่จำเป็นต้องไปหวังให้มันเป็นไปดังใจต้องการ
เพราะเราทั้งคู่ต่างก็มาจากที่แตกต่างและครอบครัวที่ต่างกัน
แต่เมื่อได้มาพบกันก็น่าจะเข้าใจกันและยินดีในความสุขของกันและกัน
คำว่ารักคืออะไร อาจเป็นได้ทั้งสุขและทุกข์ อาจเป็นได้ทั้งดีใจและเสียใจ
อาจเป็นได้ทั้งความหวังและการทำลาย
แต่ขอให้เชื่อในสิ่งที่ทำแค่นั้นก็พอ เพราะนั้นเป็นหนทางที่เลือกเอง
จงยินดีในสิ่งที่เลือกและหวัง....ดีกว่า
เพราะอย่างน้อยชีวิตของคุณก็ยังได้ก้าวเดินไป
เพราะเวลาไม่คอยใครและก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดจะรออยู่ข้างหน้า
แต่อย่างน้อยก็ยังมีคน ๆ หนึ่งที่จะยืนเคียงข้างไม่ว่าสุขหรือทุกข์
ไม่ว่าเศร้าหรือเสียใจ ไม่ว่าล้มและอ่อนแอ ยังมีคน ๆ นี้
ที่จะเดินเคียงข้างและอยู่ข้าง แม้ว่าเขาคนนั้นอาจจะไม่ดีพร้อม
ไม่สามารถร่วมชีวิต
แต่เขาก็จะเป็นเพื่อนและเป็นทุกอย่างในยามที่องการใครสักคน

คำว่า "คนพิเศษ" ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้
ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น
แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้นอย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก
"ไม่ธรรมดา" ที่จะนึกถึง เรียกว่าเป็น "ความพิเศษ"
ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ ก็ในเมื่อคำว่า "พิเศษ"
หมายถึง ความจำเพาะ ความแปลกแยก ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ
กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิด

ให้ "ความรู้สึกดีดี" จากจิตใจที่ดีดี
ให้ "ความอาทรถึง" จากจิตใจที่นึกถึง
ให้ "ความห่วง" จากจิตใจที่เป็นห่วง
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มี "สติ"
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ "คุกรุ่น" ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้
แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง "ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม"
และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้างก็จงหยุดพักตรึกตรอง
อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด "สิ่งดีดี" จนกระจัดกระจาย เพราะ
"การให้"ความหมาย ไม่ใช่ "การตั้งความหวัง" คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน
แต่คนสองคน "จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน" เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง
"การเรียกร้อง" "ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ" โดยที่ไม่รู้ตัว มันร้อนนัก
หนาวนัก และไม่เป็นสุข เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่น ๆ
หากเริ่มรู้สึกตัวว่าความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อย ๆ
เดินออกมาสูดอากาศเย็น
หากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน และอย่าลืมว่า
"ความพิเศษ"
ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุดหรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียว
ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ พิเศษในเรื่องนั้น?
พิเศษในเรื่องนี้? ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา
เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้
ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์ อย่างพิเศษกลับมา
จงให้ "ความพิเศษ" เป็นชีวิตชีวา
เป็นแววตาที่แจ่มใสเป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้
ไม่วิ่งหนีแต่ไม่วิ่งตาม ไม่หักห้ามแต่ไม่กระโจนใส่
ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหวแต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร
จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น สดใส เช่นสายน้ำ
เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้ ที่เย็นที่ตาและที่ใจ
และที่ตรงนี้? จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า "คนพิเศษ" คนนั้น
จะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันไกล "ความพิเศษ" นั้น ก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ
ที่เดิม ที่ซึ่ง หัวใจข้างซ้ายตรงกัน

จุดเล็กๆ

อย่ามองข้ามจุดเล็กๆ เพียงจุดเดียว หลายคนมักคิดว่า..จุดเล็ก ๆ ไม่ก่อปัญหาอะไร..ปล่อยข้ามมันไปเลย.. แต่จุดเล็กๆ เพียงจุดเดียว..อาจก่อให้เกิดความเสียหาย..และติดอยู่ในความทรงจำ และความรู้สึก..ของเราได้ตลอดไปเช่นกัน..
บางคนไม่ใส่ใจต่อปัญหาที่เริ่มจากจุดเล็ก ๆ..ที่เป็น ข้อผิดพลาดของชีวิต..ปล่อยเลย..ตามเลย..เพียงเพราะมองข้ามจุดเล็ก ๆ นี้ไป..อาจก่อให้เกิดความเสียหายตามมาอย่างมากมาย
เพียงอย่ามองข้ามปัญหาทุกๆ จุดของชีวิต..และพยายามเอาใจใส่..ด้วยการ ใช้สติพิจารณาอย่างใคร่ครวญ..คำนึงถึงเหตุและผล..ที่จะเกิดขึ้นตาม มาภายหลังอย่างละเอียดถี่ถ้วน..
ปัญหาแม้เล็กน้อย..หากให้ข้อคิดเตือนใจเราได้..เราก็ไม่ควรมองข้าม..หรือละเลยทิ้งมัน ไป..
ปัญหาใหญ่โต..เกิดจากปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ก่อตัว..เพิ่มจำนวนของปัญหามากขึ้น..หากเราไม่รีบแก้ไข..จากจุด เล็ก ๆ ของปัญหาเหล่านั้น..อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่โต..ที่ยากแก่ การแก้ไขได้..
ชีวิตของคนเราที่เกิดปัญหาขึ้น..ก็เพราะการไม่ใส่ใจต่อความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตนนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

มงคลชีวิตเก้าประการ

1.ซื่อตรง
บุคคลใด หรือฝ่ายใดก็ตาม ถ้าขาดความซื่อตรงเสียแล้ว ก็จะเกิดความเสื่อมโทรมเสียหาย เกิดเรื่องเดือดร้อน เกิดความไม่สงบ เกิดความระแวงไม่ไว้วางใจ ขาดความเชื่อถือ ขาดความนิยม เกิดความโกรธเคือง อาฆาตแค้น เกิดความเกลียดชัง ดูถูกดูหมิ่นกัน กฎธรรมชาติมีอยู่ว่า บุคคลใด ซื่อตรงเป็นบุคคลที่น่าคบค้าสมาคมมีเสน่ห์ ใครๆ ก็ชอบ คบค้าสมาคมกับคนซื่อตรง ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ฉะนั้น ขอให้ถือความซื่อตรงเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต

2. กตัญญู กตเวที
คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ผู้มีพระคุณแก่เรา สรุปโดยย่อมี 5 ประการ
- พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี และประพฤติตนเป็นตัวอย่าง
- ชาติ กษัตริย์และรัฐธรรมนูญ ผู้ให้สิทธิคุ้มครองความยุติธรรม ความมีหลักฐาน ถิ่นที่อยู่อาศัย
- บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดูรักษาให้ความสุขความเจริญและหลักฐานของชีวิต
- ครูบาอาจารย์ ผู้สั่งสอนศิลปะวิทยาการทั้งหลายให้ความเจริญรุ่งเรืองและป้องกันในทิศทั้งหลาย
- ญาติ พี่น้อง มิตรสหาย เจ้านาย ผู้บังคับบัญชาเหนือตน ผู้ให้ความอุปการะหรือเลี้ยงดู สนับสนุน ส่งเสริมให้เราเจริญรุ่งเรือง
ผู้มีพระคุณทั้ง 5 ประการดังกล่าว ผู้เจริญแล้วทั้งหลายต้องรู้จักบุญคุณและหาทางสนองตอบบุญคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่อย่าให้ใครมาตำหนิว่าเป็นคนเนรคุณ หรือลูกทรพี ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ที่โลกต้องการบุคคลประเภทนี้นักปราชญ์ทั้งหลายท่านกล่าวสรรเสริญยกย่องว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เทวดาฟ้าดินย่อมคุ้มครองรักษาเสมอ เพราะฉะนั้น ขอให้ถือเรื่องความกตัญญูเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญของชีวิต

3. ขยัน
ความขยันเป็นเครื่องผลักดันชีวิตให้เจริญก้าวหน้าไปสู่ความมั่นคั่งบรรดาบุคคลสำคัญของโลกได้ประสบความรุ่งโรจน์ เพราะอาศัยความขยันเป็นเครื่องช่วยผลักดันชีวิต คือ
ขยันศึกษา คือ ศึกษาเล่าเรียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมีโอกาสศึกษาได้ตามฐานะ ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ เราเรียกว่าศึกษาตลอดชีวิตจนถึงวาระสุดท้าย
ขยันคิด คือคิดให้ถึงที่สุด หาทางก้าวหน้าอยู่เสมอ คิดสร้างสรรค์ คิดพัฒนา พลิกแพลงให้ดีขึ้น และคิดแก้ไขปรับปรุงเองว่ามีจุดดี หรือด้อยอย่างใด คิดให้ทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์นั้นๆ
ขยันพูด “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี” ข้อนี้คือพูดให้ดีที่สุด พูดให้ถูกกาลเทศะ พูดให้เป็นประโยชน์มากที่สุด คิดให้ถ้วนถี่ก่อนพูด ทางพระท่านว่า “ปิยวาจา” หรือ “มธุรสวาจา”
ขยันทำ คือทำให้ดีที่สุดจนสุดความสามารถที่สามารถทำได้ จงทำเวลาทุกๆ นาที ให้เป็นประโยชน์ให้เกิดประโยชน์ ให้มากที่สุด
ขยันหา คือ หาความรู้ หาความชำนาญ หาความดี ความชอบ หาทางก้าวหน้า หาทรัพย์สินเงินทอง หาหลักฐาน หามิตรสหาย หาพระสงฆ์ หานักปราชญ์ผู้รู้ดี รู้ชอบ หาชื่อเสียง หาประโยชน์ทางสุจริต หาความเจริญ เป็นต้น อย่าหายใจทิ้งไปวันๆ ทางพระท่านตำหนิว่าเป็น “โมฆะบุรุษ” บางคนท่านให้ศัพท์ค่อนข้างรุนแรงว่า “เสียชาติเกิด” หรือ “รกโลก” ฉะนั้นจึงขอให้ถือความขยันเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต

4. สะอาด
ความสะอาดทำให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เชื้อโรคเกิดจากความสกปรก เมื่อเรามีความสะอาดเชื้อโรคก็เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็มีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ บ้านเรือนที่สะอาดก็เป็นบ้านเรือนที่น่าอยู่อาศัย ใครๆ ก็ชอบบ้านเรือนที่สะอาดเสื้อผ้าที่สะอาดก็เป็นเสื้อผ้าที่น่าสวมใส่ น่าดู น่าชม ใครๆ ก็ชื่นชม ใครๆ ก็ชอบใส่เสื้อผ้าที่สะอาด
บุคคลใดเป็นคนสะอาด ก็เป็นคนที่น่าคบค้าสมาคม ยิ่งกว่านั้นความสะอาดยังส่อแสดงให้เห็นถึงชีวิตจิตใจ และบุคลิกภาพ โบราณท่านสอนว่า ดูวัดให้ดูฐาน (ส้วม) ดูบ้านให้ดูครัว วัดใดส้วมสะอาด แสดงว่าวัดนั้นพระขยัน วัดใดส้วมสกปรก แสดงว่าวัดนั้นพระขี้เกียจ บ้านใดครัวสะอาด แสดงว่าแม่ครัวหรือลูกสาวบ้านนั้นขยัน บ้านใดครัวสกปรก แสดงว่าแม่บ้านหรือลูกสาวบ้านนั้นขี้เกียจ เพราะฉะนั้น ขอให้ถือความสะอาดเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต

5. ใช้จ่ายพอสมควรแก่ฐานะ
ถ้าเราใช้จ่ายเกินฐานะเกินรายได้ก็จะมีแต่ความทรุดโทรมลงและพินาศล่มจม ในที่สุดก็ดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้มีคนเป็นจำนวนมากที่ต้องลำบากยากจนและเดือดร้อน เป็นหนี้สินเขาเพราะใช้จ่ายเกินฐานะ
จงประหยัดเพื่อใช้จ่าย แล้วใช้จ่ายเพื่อประหยัด จะมั่งมีเพราะประหยัด จะอัตคัดเพราะฟุ่มเฟือย รูรั่วนิดเดียวยังทำให้เรือใหญ่จมได้ จงอดกลั้น อดทน อดออม แล้วจะไม่อดตาย คนรวยเพราะทำตัวจน คนขัดสนเพราะทำตนร่ำรวย จงกินแต่พออิ่ม ชิมแต่พอดี เป็นหนี้แต่พอประมาณ อย่าเอาโรงแรมเป็นบ้าน อย่าเอาภัตตาคารเป็นครัว อย่ากินเกิน อย่าใช้เกิน รู้จักแก้จนด้วยการทำตัวต่ำ รู้จักลดขนาดความต้องการลง เพื่อความอยู่รอดของครอบครัว พลาดไปหนึ่งครั้งพังไปนาน เพราะฉะนั้น ขอให้ถือการใช้จ่ายพอสมควรแก่ฐานะเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต

6. งดเว้นสิ่งให้โทษ
งดเว้นจากสุราเมรัย เครื่องดองของเมา ดื่มได้กินได้เพื่อเป็นยา
งดจากสิ่งเสพติดทั้งหลายทั้งปวง
งดการเล่นการพนันขันต่อต่างๆ ทุกกรณี
งดเข้าในสถานเริงรมย์ แหล่งอบายมุข ทั้งปวง
หากเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งให้โทษ ก็จะพาชีวิตของเราเสื่อมโทรมเสียหายพินาศเดือดร้อน ไม่เจริญก้าวหน้า เดินไปสู่ความหายนะ สู่ประตูคุกตะราง สู่ความตาย ฉะนั้นจึงขอให้ถือการงดเว้นสิ่งให้โทษเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต

7. ไม่ล่วงเกินผู้อื่นก่อน
เรื่องราวเดือนร้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้น การทะเลาะวิวาท ตีกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากัน เป็นต้น เนื่องมาจากการล่วงเกินกันก่อนเป็นมูลเหตุ ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ล่วงเกินกัน ยอมให้เป็น ให้อภัยเสียบ้าง คิดเสียว่าโลกทั้งผองพี่น้องกัน รู้รักสามัคคี ฯลฯ ฉะนั้นจึงขอให้ถือการไม่ล่วงเกินผู้อื่นก่อนเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต

8. งดติดต่อคบค้าสมาคมกับคนไม่ดี
การติดต่อกับคนไม่ดี เป็นบันไดแรกนำไปสู่เรื่องราวเดือดร้อนวุ่นวาย ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากการติดต่อซึ่งกันและกัน หากเราติดต่อกับคนไม่ดีก็จะมีแต่เรื่องยุ่ง ผิดหวัง เดือดร้อน เสียหาย เสื่อมโทรม พินาศ ขาดทุน หรืออาจถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้ ข้อสังเกตว่าคนใดไม่ดีคือ
คนดี ย่อมแสดงออก ซึ่งความดี คนชั่ว ย่อมแสดงออก ซึ่งความชั่ว
คนซื่อ ย่อมแสดงออก ซึ่งความชั่ว คนคด ย่อมแสดงออก ซึ่งความคด
คนเลวทราม ย่อมแสดงออก ซึ่งความเลวทราม
นิสัยของคนไม่ดี พอยกเป็นตัวอย่างได้ ดังนี้
- ไม่ซื่อตรง (คิดคดเสมอ)
- ไม่รักษาคำพูด (คำพูดที่ตกลงกันไว้)
- โกหก (ทำให้เกิดเรื่องเสียหาย เดือดร้อน)
- ปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ประเภท 18 มงกุฎ
- ยักยอก ฉ้อโกง เบียดบัง เอาเปรียบ
- ทรยศหักหลัง กินบนเรือน ถ่ายบนหลังคา
- ไม่ทำตามเงื่อนไขสัญญา
- ใช้เล่ห์เหลี่ยม แกล้งให้เดือดร้อนเสียหาย
- กลับกลอกหลอกลวงให้เสียหาย เดือดร้อน
- ขาดความเกรงใจ ไร้มารยาท บีบครั้นเอาเปรียบ
การดูคนดี คือ คิดดี ทำดี พูดดี คบคนดี และไปสู่ถานที่ดี
การดูคนชั่ว คือ คิดเรื่องชั่วๆ ทำเรื่องชั่วๆ พูดเรื่องชั่วๆ คบคนชั่วๆ และชอบไปสถานที่ชั่วๆ
เชื้อโรคเกิดจากความสกปรกฉันใด ความเสียหาย เดือดร้อนก็เกิดจากความไม่ดีฉันนั้น โบราณว่า หลีกสัตว์ร้ายให้พ้นวา หลีกคนชั่วช้าให้ย้ายบ้านย้ายเรือน ฉะนั้นจึงขอให้ถือการไม่คบค้ากับคนไม่ดีเป็นหลักปฏิบัติประจำของชีวิต

9. รู้จักหน้าที่ และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
คนเรามีหน้าที่ที่แตกต่างกัน เพศ วัย และการงาน ใครจะอยู่ในหน้าที่อะไรก็ตาม ก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เต็มศักยภาพความรู้ ความสามารถ โดยไม่มุ่งผลตอบแทนเกินไป ให้ทำหน้าที่ด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง ทีเรียกว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขขณะทำงานแต่คนส่วนมากมีแต่ความอยากได้ แต่ไม่อยากทำ อยากรวย อยากสบายแต่ไม่อยากทำ อยากได้ดีแต่ไม่ยอมสะสมความดี ฯลฯ
คนที่เสียชื่อเสียง เสียผู้เสียคน เสียอนาคต ถูกลงโทษ ลงทัณฑ์ ถูกปลด ถูกไล่ออก ถูกย้าย ถูกถอดยศถอดตำแหน่งหน้าที่การงาน ติดคุก ติดตะราง ตัวเองและครอบครัวเดือนร้อน ก็เพราะไม่รู้จักหน้าที่ ไม่ทำตามหน้าที่ ดูถูกหน้าที่ของตนเอง ละทิ้งหน้าที่ของตนเอง เพราะฉะนั้น ขอให้ถือการรู้จักหน้าที่และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเป็นหลักในการปฏิบัติประจำวันของชีวิตอีกข้อหนึ่ง
หากท่านผู้ใดสามารถปฏิบัติได้ครบทั้งเก้า ประการี้ รับรองได้ว่าชีวิตก็มีแต่ความสุข ความเจริญ อยู่ที่ไหนใครก็รัก จากไปก็เสียดาย ตายไปก็มีคนร้องไห้คิดถึง

คนทุกคนอยากเป็นคนดี

เคยสงสัยไหมว่า คนที่เป็นโจรหรือขโมยนั้น เขาไม่คิดที่จะเป็นคนดีบ้างหรือ อยากทำความดีบ้างหรืออย่างไร ความจริงแล้วทุกๆ คนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ก็อยากจะเป็นคนดีและก็อยากทำความดีกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่อยากจะเป็นคนร้ายหรืออยากจะเป็นคนชั่ว แม้กระทั่งโจรที่ว่าร้าย แท้ที่จริงเขาก็อยากเป็นคนดี เพียงแต่ว่าสติปัญญาของเขามีอยู่อย่างจำกัด เขาได้แต่คิดว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นคือความดีที่เขาคิดเอาเอง เพราะว่าสิ่งที่เขาขาดแคลนอย่างมากคือกัลยาณมิตร ผู้ที่จะมาแนะนำอย่างถูกวิธี ถูกต้อง และเหมาะสมนั่นเอง คนทั่วไปในโลกขณะนี้ แม้ว่าเขาอยากจะเป็นคนดี แต่เขาก็ไม่รู้หลักในการพัฒนาตนเองให้ดีอย่างแท้จริง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกัลยาณมิตรไปช่วยแนะนำไปช่วยแก้ไข และชี้ทางที่ถูกต้องให้กับพวกเขาเหล่านั้น เพื่อที่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้เป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเองและสามารถที่จะเป็นกัลยาณมิตรให้กับคนอื่นต่อไปได้ เราก็ได้รับคำตอบแล้วว่า ทุกคนล้วนปรารถนาอยากจะเป็นคดีและอยากจะทำความดีกันทั้งนั้น ทั้งสิ้น แต่ว่าขาดต้นแบบ และคนที่แนะนำได้อย่างถูกต้อง นั่นก็คือกัลยาณมิตรนั่นเอง เราคงต้องหันมาศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจัง จะได้เป็นกัลยาณมิตรที่สมบูรณ์ให้ตัวเองและแก่เพื่อนชาวโลกคนอื่นๆ ต่อไป

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กรรมกำหนด

พี่น้องมีอะไรหน่อยก็ทะเลาะวิวาท พี่ไม่ยอมผ่อนปรนน้อง น้องก็ไม่เคารพยำเกรงพี่ เป็นเพราะชาติก่อนต่างขาดเมตตาธรรม ข่มเหงรังแกกัน ชาตินี้ต้องมาเกิดเป็นพี่น้องกันหรือมาแย่งสมบัติกัน พี่น้องต้องกลายเป็นคู่แค้น
สามีภรรยาที่ชอบทะเลาะวิวาทกัน เป็นเพราะชาติก่อนภรรยาคิดร้ายต่อสามี หรือสามีข่มเหงภรรยา จึงเป็นเวรกรรมต่อกัน ชาตินี้จึงต้องมาเกิดเป็นสามีภรรยากันอีก หรือฝ่ายหญิงมาเกิดเป็นชาย หรือฝ่ายชายมาเกิดเป็นหญิง เพื่อใช้หนี้กรรม
ที่ชาตินี้กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก หรือแก่ชราไร้บุตรหลานดูแลเป็นเพราะชาติก่อนทำแท้งหรือฆ่าทารกแรกเกิด ชาตินี้จึงต้องอยู่คนเดียว เป็นกรรมสนอง
ที่ชาตินี้เกิดเป็นทาสหรือคนใช้ ต้องถูกข่มเหงรังแก เป็นเพราะชาติก่อนเป็นเถ้าแก่หรือนายหญิง ใจคอคับแคบโหดร้าย ชาตินี้จึงต้องเกิดเป็นนายบ่าวอีกแต่กลับกัน เพื่อเป็นการชดใช้หนี้กรรม
ที่ชาตินี้อยู่อย่างไม่สุขสบาย ยากจนลำบากไม่อิ่มท้องเป็นเพราะชาติก่อนไม่รักธัญญาหาร กินทิ้ง กินขว้างใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่ายชาตินี้จึงต้องลำบากยากจน คิดทำการใดก็ประสบแต่ความล้มเหลวอันเป็นกรรมสนอง
ที่ชาตินี้อายุไม่ยืน มีโรคภัยไข้เจ็บอยู่เสมอ เป็นเพราะชาติก่อนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไร้เมตตาปรานีต่อสัตว์ ส่งผลให้ชาตินี้ถูกตัดทอนอายุขัย ต้องรับทุกข์ทรมานจากากรเบียดเบียนของโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเป็นกรรมสนอง
ที่ชาตินี้แม้จะใฝ่ธรรมะมุ่งหลุดพ้น ไม่กล้าทำชั่วแม้แต่น้อย มุ่งทำความดีขัดเกลาตน แต่ต้องมีภาระผูกพันทางครอบครัวมาก ไม่อาจปลีกตัวพ้นจากภาวะหน้าที่ เป็นเพราะชาติก่อนติดค้างหนี้สินเขายังไม่ชำระ หรือยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณเขา ชาตินี้จึงต้องชดใช้หนี้กรรม ดังนั้นแม้ใจจะใฝ่ธรรมะ คิดบำเพ็ญธรรม ก็ไม่อาจปลดเปลื้องพันธนาการจากทุกข์นั้น
จึงกล่าวได้ว่า ที่ชีวิตในชาตินี้ไม่สมหวัง เป็นเพราะวิบากกรรมจากชาติก่อนเป็นมูลเหตุ วิบากกรรมเหล่านี้ ต้องขจัดให้สิ้นเสียก่อน (โดยการสร้างบุญกุศล) คิดทำการใดจึงจะราบรื่น ไร้อุปสรรคขวากหนามแต่ถ้าไม่เชื่อเรื่อกฎแห่งกรรม ชาตินี้ยังคงสร้างสมบาปกรรมต่อไปอีกทุกภพทุกชาติ ก็จักชดใช้ไม่รู้จบสิ้น ขอให้ทุกๆ ท่านทั้งหลายพึงสังวร
- กรรมไม่ดีที่หนักที่สุด จนถึงกับห้ามมรรค ผล นิพพาน คือ กรรมไม่ดีที่ทำต่อพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และมารดาบิดา ก่อนจะทำกรรมใดขอให้น้อมใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ทรงเสียสละลำบากเพียงไหน เพื่อสอนให้เชื่อกรรม ไม่ให้ทำกรรมที่ไม่ดีทั้งหลาย ให้ทำแต่กรรมดี
- กรรมดีทางใจที่ควรพร้อมกันทำให้เกิดขึ้นเพื่อความสุขสวัสดี ทั้งของตนเองและประเทศชาติคือ ความมั่นคงในพระคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธบารมีนั้นยิ่งใหญ่ไพศาล แผ่ไปทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลานาที พึงพร้อมกันน้อมใจรับเพียงด้วยการรำลึกถึงพระพุทธองค์ว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ ในทุกเวลานาทีที่มิได้มีภาระอื่น จะนั่ง นอน ยืน เดิน พึงพร้อมกันทำ อย่าได้ว่างเว้น และทุกคนทำได้ ทุกคนมีเวลามากมายในรถที่ติด ในที่นอนไม่หลับ ในงานที่มิต้องใช้ความคิดมากมายนัก ในเวลารับประทาน ฯลฯ การภาวนาพุทโธ ไม่ใช่งานหนัก ไม่ใช่งานยาก แต่มีคุณมหาศาลเกินกว่าจะมีผู้ใดบอกได้ถูก ผู้ใดทำผู้นั้นจะได้เข้าใจ ด้วยตนเอง จึงขอให้ทำเพื่อหนี้ผลแห่งกรรมไม่ดีที่ไม่อาจรู้ได้เห็นได้ว่ากำลังจะเกิดแก่ชีวิตในวินาทีใด และร้ายแรงเพียงไหน เช่น ที่ได้เกิดขึ้นให้เห็นอยู่แล้วทุกวันนี้ ตั้งจิตขออโหสิกรรมและให้อโหสิกรรม ต่อผู้เป็นเจ้าเวรนายกรรม ต่อผู้ที่ได้ล่วงล้ำก้ำเกินกันทั้งน้อยใหญ่ แล้วภาวนาพุทโธไว้เถิด ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจ ไม่หมดอายุก็จะสวัสดี หมดอายุก็จะไปดี

กตัญญูคือหลักบำเพ็ญธรรม

บำเพ็ญธรรมต้องมีกตัญญูก่อน บิดามารดาดุจฟ้าอย่าขัดใจโลกนี้ใดๆ พระคุณสุดยิ่งใหญ่ สมบัติใดมิเกินกว่า พ่อแม่
การโปรดเหล่าเวไนย์ในยุคสามนี้ ทุกครัวเรือนล้วนมีบุตรบำเพ็ญธรรม บุตรบำเพ็ญเหล่านี้จะเคารพนับถือเซียนพุทธกันทั้งนั้น ทำให้เซียนพุทธรู้สึกอบอุ่นใจ แต่บุตรบำเพ็ญคงมิใช่บุตรกตัญญูกันทุกคน บางคนพอมาถึงสถานธรรมก็อุทิศแรงกายช่วยปัดกวาดสถานธรรมโดยไม่ย่อท้อแต่พออยู่ที่บ้านพ่อแม่เรียกเขาเก็บกวาดบ้าน ก็อ้างเหตุไปโน้นไปนี่ กลายเป็นหน้าหลังกลับกัน
มีบางคนมาถึงสถานธรรมก็เคารพอาจารย์ให้ความสำคัญกับธรรมะมองดูเหมือนผู้เป็นแบบอย่างของคนบำเพ็ญธรรม พอกลับมาถึงบ้านพ่อแม่ว่ากล่าวเขาไม่กี่คำ เขาก็มีอารมณ์ต่อต้านหาว่าพ่อแม่พูดจาเซ้าซี้ ซ้ำซาก เหล่านี้คือภาพที่ไม่กตัญญู
ยามพ่อแม่เจ็บป่วย เป็นบุตรหากไม่พอไปรักษาหรือดูแลความเป็นอยู่ล้วนต้องมีบาปจากการไม่กตัญญู หากโปรดสัตว์ในยุคสามนี้กตัญญูธรรมก็คือธรรมแห่งฟ้า (เทียนต้า) หวังว่าชาวโลกผู้บำเพ็ญธรรมจะไม่ลืมหลักการอันนี้ พ่อแม่ถือเป็นต้นกำเนิดของมหาธรรม บุตรที่ไม่กตัญญูจะไม่มีวันได้ประจักษ์ธรรม ดังนั้นจึงหวังว่าชาวโลกจะบรรลุ รู้อย่างลึกซึ้ง
โดย..หน่ำไห้โก้วฮุก

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การอธิษฐานจิตในการปล่อยชีวิตปลา

ควรจะซื้อปลาจากตลอดสด เพราะปลาเหล่านั้นจะต้องถูกฆ่าตายแน่นอน ก่อนจะนำมาปล่อยให้เอาน้ำมาหนึ่งขัน แล้วภาวนาบทพุทธคุณ (อิติปิโส) ห้าจบ ทำเป็นน้ำพระพุทธมนต์ประพรมลงในถังที่ใส่สัตว์ที่จะปล่อยจนหมด
แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า : ข้าพเจ้าขอปล่อยชีวิตของท่านทั้งหลายให้เป็นอิสระ ขอให้ท่านทั้งหลายจงพ้นจากทุกข์ พ้นจากการถูกฆ่า พ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง ขอให้มีชีวิตอยู่ยืนยาว มีความสุข มีความเจริญและขอให้ตายตามอายุขัยตามบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายได้สร้างเอาไว้ และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำในครั้งนี้ ขออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร ขอให้ท่านทั้งหลายจงมาอโหสิกรรมและอภัยทานให้แก่ข้าพเจ้าให้ได้พ้นจากความทุกข์ ความโศก และโรคภัยต่างๆ ตลอดจนเคราะห์กรรมที่ข้าพเจ้าได้รับอยู่ในขณะนี้ ขอให้จงมลายหายไปสิ้นจากชีวิตของข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้ด้วยเถิด
จากนั้นปล่อยปลาลงในแม่น้ำแล้วภาวนาว่า จงเป็นสุข เป็นสุขเถิดอย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย

วิธีอธิษฐานในการปล่อยสัตว์

ควรหาซื้อสัตว์ที่จะปล่อยตามตลาดทั่วไปที่กำลังจะถูกฆ่า เช่น นก เต่า และปลาต่างๆ ก่อนจะปล่อยให้เอาน้ำมาถ้วยหนึ่งเทลงไปในถังที่ใส่สัตว์ที่จะปล่อยเหล่านั้นแล้วตั้งใจ
“ข้าพเจ้าขอปล่อยท่านทั้งหลายเหล่านี้ให้เป็นอิสระ ข้าพเจ้าให้ชีวิตแก่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้ให้ความเป็นอิสระแก่ท่านเหล่านี้ ข้าพเจ้าช่วยท่านทั้งหลายเหล่านี้ให้พ้นจากความทุกข์เดือนร้อนพ้นจากการถูกเขาประหาร ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าทำให้แก่ท่านในครั้งนี้จงเป็นเครื่องอโหสิแก่กัน อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองต่อไป ขอท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อข้าพเจ้าปล่อยท่านไปให้เป็นอิสระแล้ว จงไปบอกพวกของท่านที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ถึงส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้ แล้วขออุทิศกุศลทั้งหมดที่ทำไปแล้ว ให้ท่าทั้งหลายเหล่านั้น จงเป็นผู้พ้นจากความทุกข์เดือนร้อนทั้งปวง และจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ข้อควรรู้ ในการปล่อยสัตว์นั้น บางคนนิยมปล่อยเต่า ขอบอกให้รู้ว่าเต่านั้นไม่สามารถจะอยู่ได้ในน้ำไหลและมีคลื่นแรง การปล่อยสัตว์แต่ละชนิดนั้น ผู้ที่ต้องการสร้างกุศลด้วยการปล่อยสัตว์ ควรต้องศึกษาดูลักษณะสถานที่ และวิถีดำรงชีวิตของสัตว์แต่ละชนิดด้วยว่า ถ้าปล่อยไปแล้วจะมีชีวิตดำรงอยู่อย่างสุขสบายหรือได้รับอิสระจริงหรือไม่ เพื่อให้หลุดพ้นจากความเกิด ความตาย มุ่งสู่แดนนิพพาน ชาติต่อไปไม่ต้องตกอยู่ในวัฏสงสารอีก ชาวโลกทั่วไปเมื่อทำความดีครั้งใด ก็จะเกิดความสุขใจเมื่อทำความชั่วครั้งใด จิตใจก็จะทุกข์ร้อนไม่เป็นสุข เหตุนี้จึงได้ชื่อว่าคนดีขึ้นสวรรค์ คนชั่วตกนรก คนดีย่อมสบายใจ คนชั่วย่อมทุกข์ใจ

อีกวิธี
การอธิษฐาน
ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าตั้งใจบำเพ็ญ เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ เพราะบุญนั้น และการอุทิศแผ่ส่วนบุญนั้น ขอให้สมความปรารถนาดังนี้
1. บุคคลใดที่เคยเป็นญาติมิตร ได้สร้างบุญร่วมกันทั้งในอดีตจะเป็นกี่ภพ กี่ชาติก็ดี ในปัจจุบันชาตินี้ก็ดี ขอให้ได้มาพบกัน ชักชวนกัน ทำบุญในครั้งนี้ ให้สำเร็จและขอให้มีกำลังใจสามรถเอาชนะอุปสรรคใดๆ ที่เกิดขึ้นได้ตลอดไป
2. ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักแต่คำ มี ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่อยู่อาศัย เมื่อคิดจะทำทานมากน้อยเพียงใด ก็ให้มีได้ตามใจปรารถนา ไม่รู้จักหมดจักสิ้น คำว่า ไม่มี อย่าได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า
3. ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักคำว่า สำเร็จ ไม่ว่าจะทำงานทางโลกหรือทางธรรม จะเป็นงานเล็ก หรืองานใหญ่ เพียงใดก็ดี ขอให้ทำงานนั้นๆ ได้สำเร็จบริบูรณ์ คำว่าไมสำเร็จ อย่าได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า
4. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ ให้ได้สร้างความดีตลอดชีวิตขอให้ได้พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสปฏิบัติธรรมได้สะดวก รู้แจ้งธรรมโดยเร็วพลัน และได้สำเร็จมรรคผล เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ขอความปรารถนา ทั้ง 4 ประการนี้ จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าทุกชาติ ตราบวันเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดวงชะตา


นพภางค์เจ้า (เจ้าแห่งเตาไฟ)
ชาวโลกขณะสูญเสียกำลังใจหรือพบกับอุปสรรค ก็มักจะเข้าหาหมอดูเพื่อตรวจดูดวงชะตา กลับไม่รู้ว่ามนุษย์ต่างก็มีดวงชะตาที่ต่างกัน ตั้งแต่ชาติก่อนและชาติปัจจุบัน แม้ดวงชะตาชาติก่อนจะดีก็ตามหากชาติปัจจุบันไม่ขยันขันแข็งทำมาหากิน ก็ไม่มีทางจะเจริญรุ่งเรืองได้ทางกลับกัน ถ้าดวงชะตาชาติก่อนไม่ดี ชาติปัจจุบันขยันขันแข็งเอาความดีชดเชยความไม่ดี ทำเคราะห์ภัยหรือความลำบากให้เหลือน้อยที่สุด ก็มีแต่การบำเพ็ญเท่านั้นที่จะทำให้หลุดพ้นจากลักษณะทั้งห้า (ลักษณะของใบหน้า) ก็จะแก้ไขดวงชะตาได้ ให้บำเพ็ญบุญกุศลให้ความสำคัญต่อธรรมะและการปฏิบัติ เนื้อนาบุญก็จะเพิ่มพูนขึ้นที่ไม่มุ่งสู่ข้างหน้า เพราะมัวแต่แสงหาประโยชน์ส่วนตัว ก็จะไม่มีวันก้าวถึงฝั่งได้ตลอดกาล
ยิ่งโชคลาภแล้วไม่ใช่ร่วงหล่นมาจากฟ้า ให้รู้จักชะตาชีวิตนอกเหนือจากชะตาชีวิตสิ้นสุดลงแล้ว ยังต้องสรรสร้างชะตาชีวิตอันใหม่ เหมือนกับเอดิสันนักวิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่ที่เคยพูดไว้ว่า “พรสวรรค์เพียง ๑ ส่วน อีก ๙๙ ส่วนเป็นความขยัน” เป็นเพราะเขาไม่กลัวอุปสรรค ทดลองแล้ว ทดลองอีก แก้ไขให้ดีขึ้น จึงได้สรรสร้างสิ่งค้นคว้าอันยิ่งใหญ่ สร้างความสุขแก่มวลมนุษย์เหลือคณานับ
ย้อนมองที่ตนเอง พอพบอุปสรรคก็คว่ำเสียแล้ว ไม่ลุกขึ้นมาใหม่ ลองถามตนเองว่ามีอะไรสำเร็จบ้างไหม คนที่โทษฟ้าโกรธคนจะเป็นคนที่ไม่อาจแก้ไขชะตาชีวิตได้ มีหนทางเดียวคือต้องเปลี่ยนแปลงวิสัยตนเองทั้งหมดแล้วเริ่มต้นใหม่ สร้างตัวตนเองใหม่ อนาคตจึงจะสดใส ต้องมีใจมั่นคง มีมานะ ไม่ว่าความยากลำบากใดๆ ก็สามารถที่จะแก้ไขได ยิ่งไม่ต้องแสงงหาการแก้ไขดวงชะตา เพราะดวงชะตาอยู่ในมือของตนเอง ให้ถามใจตนเองเท่านั้น..

กตัญญู


พระคุณบุพการีสุดลึกล้ำ อบรมค้ำชูบุตรจนเติบใหญ่
หากไม่เคารพพ่อแม่ในแดนดิน จะเคารพใครเล่าในโลกา
ดื่มน้ำรำลึกต้นธารโปรดอย่าลืม เคารพเทิดทูนผู้เฒ่าจิตงามดี
ชีพยังอยู่ดำรงไม่เคารพ สิ้นชีพตักษัยใจคร่ำครวญ
ห้องโถงม้านั่งผลัดกันชม เป็นกษัตริย์เป็นขุนนางไม่ยั่งยืน
กตัญญูรู้คุณได้บุตรดี ทรพีเนรคุณได้บุตรเลว
หยดน้ำบนหลังคาทุกหยาดหยด ทุกๆ หยดรินหลั่งลงไม่ขาดสาย
ยากจนยังถิ่นเมืองไร้คนถาม ร่ำรวยอยู่ป่าเขาคนถามหา
จนรวยล้วนแต่ฟ้าลิขิต กตัญญูพ่อแม่ซึ้งทรวงฟ้า

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โกหกเพื่อความสบายใจ

ยังมีหลายท่านคิดว่าโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจนั้นไม่ถือว่าเป็นบาปเพราะว่าเรื่องบางเรื่องถ้าพูดไปตามความจริงแล้ว คนฟังอาจไม่ชอบใจหรือว่าเกิดทุกข์ ถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับกัน การพูดไม่ตรงกับความจริงจะได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม เป็นการพูดโกหกนั่นก็คือ ผิดศีลข้อที่ ๔ มุสาวาทาเวรมะณีฯ เป็นบาป ผลบาปที่ตามมาก็คือว่าคำพูดจะไม่มีคนเชื่อถือ ไม่ได้รับความไว้วางใจ ไม่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุน เป็นที่หาดระแวงของคนรู้จัก และมักจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับปาก ฟันผุ ปากเหม็น ไม่มีคนคบหาสมาคม
พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า ไม่มีความชั่วใดที่คนพูดโกหกจะทำไม่ได้ อย่างเช่น ไปฆ่าสัตว์มาก็โกหกว่าไม่ได้ฆ่า ลักขโมยทรัพย์มา เขาก็โกหกว่าไม่ได้ขโมย ประพฤติผิดลูกเมียเขามา ก็โกหกว่าไม่ได้ทำ กินเหล้า เมาหัวทิ่ม ก็ยังกล้าพูดโกหกว่าไม่ได้กิน แค่จิบนิดหน่อย เหล่านี้เป็นต้น คนที่อ้างว่าโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มักจะทำหน้าที่ของตนบกพร่อง แล้วก็ไม่คิดแก้ไข ไม่ปรับปรุงตัว อาศัยการเอาตัวรอดด้วยการโกหกไปเรื่อยๆ เขาจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็คิดว่าตัวเองเก่ง แต่เก่งแบบนี้เป็นการทำลายตัวเอง ทางที่ถูกแล้วทำอย่างไรควรพูดอย่างนั้น พูดอย่างไรก็ควรทำอย่างนั้น ถ้าทำแล้วไม่กล้าพูด แสดงว่าสิ่งที่ทำต้องไม่ดี ก็ไม่ควรทำ ใครที่ยังโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ ขอให้เลิกได้แล้ว หันมาพูดความจริง มาจริงใจกันดีกว่า แล้วจะได้พบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต เชื่อเถอะ

เกิดมาจน

คนที่เกิดมาจนอย่างเพิ่งโทษ โลกนี้ไม่เป็นธรรม ที่จริงแล้วโลกนี้มีความเป็นธรรมเสมอ ให้เวลาและโอกาสมนุษย์เท่าๆ กัน เพียงแต่ว่าเราจะใช้เวลาแต่ละนาทีของชีวิตให้คุ้มค่าอย่างไร คนที่เขาเกิดมารวย เพราะเขาสร้างเหตุแห่งความรวยมาก่อน คนจนก็เช่นกัน เขาเคยสร้างเหตุแห่งความจนไว้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ใครให้ทานมาดีคนนั้นก็รวย ใครไม่เคยให้ทานคนนั้นจะยากจน อันนี้เป็นหลักธรรมความจริง เมื่อเราให้ทาน ส่วนหยาบที่เห็นด้วยตาเนื้อของเราก็คือสิ่งของที่เราสละไป ส่วนละเอียดก็คือทันทีที่ใจเราฆ่าความตระหนี่ สละทรัพย์สิ่งของออกไปได้ บุญก็ก่อเกิดขึ้นมาในใจ บุญที่เกิดจากการทำทาน พอเกิดขึ้นแล้ว ก็จะมีคุณสมบัติอยู่อย่างหนึ่งคือ สามารถดูดทรัพย์สมบัติมาอยู่กับเราได้โดยง่าย คนที่ทำทานมามาก เกิดมาก็ได้พอแม่รวย เกิดมามีทรัพย์สมบัติเตรียมไว้ให้พร้อม บางคนพ่อแม่เริ่มต้นท้องไม่ว่าแม่จะหยิบจับ จะทำอะไรก็โชคดีไปหมด พอเขาโตขึ้นทรัพย์สมบัติก็พร้อมมูล นี่เป็นผลทานที่สร้างไว้ในอดีต เพราะฉะนั้นที่เราเกิดมาจน เพราะว่าภพในอดีตเราให้ทานมาน้อย ชาตินี้ต้องพยายามทำทานให้เต็มที่เต็มกำลังของเรา อย่าไปนึกตระหนี่ นึกเสียดาย สิ่งสำคัญอย่าไปตัดลาภใคร เห็นใครเขาจะทำบุญ อย่าไปขัด อย่าไปค้าน ควรสนับสนุนให้กำลังใจอนุโมทนาให้ เขาปลื้มใจให้มากที่สุด คนที่รักการให้ทานและขยันหมั่นเพียรประกอบสัมมาอาชีพ ย่อมไม่มีวันยากจน ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ ก็ตาม แล้วรับรองว่าต่อไปนี้และชาติต่อๆ ไปก็จะไม่ยากจน

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ศีลห้า แปด สิบ

ศีลห้า
1.ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองและไม่ใช่ให้ผู้อื่นฆ่า
2.อทินนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการลัก ,ฉ้อ ของผู้อื่นด้วยตนเอง และไม่ใช่ให้ผู้อื่นลัก ฉ้อ
3.กาเมสุมิจฺฉานารา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4.มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการพูดเท็จ คำไม่เป็นจริง และคำล่อลวง อำพรางผู้อื่น
5.สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการดื่มสุรา เมรัย เครื่องดองของทำใจให้คลั่งไคล้ต่างๆ


ศีลแปด หรือ อุโบสถศีล เป็นศีลของคฤหัสถ์ หมายถึง อุบาสกอุบาสิกาทั่วไป มิใช่สงฆ์ (ซึ่งมีศีลเฉพาะตนอยู่แล้ว) โดยมักจะรับศีลแปดในวันพระ นิยมรักษาศีลแปดเป็นเวลา 1 วัน หรือ 3 วัน จัดเป็นศีลขั้นต่ำของพระอนาคามี
โดยปกติผู้รักษาศีลจะเปล่งวาจาอธิษฐาน ที่จะขอสมาทานศีลตั้งแต่เช้าของวันนั้น หากรักษาศีลแปดเป็นเวลา 1 วัน เรียกว่า "ปกติอุโบสถ" และหากรักษา 3 วัน เรียกว่า "ปฏิชาครอุโบสถ"
ศีลแปด
1.ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการฆ่าสัตว์
2.อทินฺนา ทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการลักสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้
3.อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
4.มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
5.สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
6.วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล (หลังเที่ยงถึงวันใหม่)
7.นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี และประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม
8.อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ที่เท้าสูงเกิน ภายในมีนุ่นหรือสำลี


ศีล 10 หรือ ทศศีล สำหรับสามเณร แต่ผู้ใดศรัทธาจะรักษาก็ได้ หัวข้อเหมือนศีล 8 แต่แยกข้อ 7 เป็น 2 ข้อ เลื่อนข้อ 8 เป็น 9 และเติมข้อ 10 คือ
ศีลสิบ
1.เว้นจากทำลายชีวิต
2.เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้
3.เว้นจากประพฤติผิดพรหมจรรย์ คือเว้นจากร่วมประเวณี
4.เว้นจากพูดเท็จ
5.เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
6.เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือเที่ยงแล้วไป
7.เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง ฯลฯ
8.เว้นจากการทัดทรงดอกไม้ ฯลฯ
9.เว้นจากที่นอนอันสูงใหญ่ ฯลฯ
10.เว้นจากการรับทองและเงิน
     ศีล 10 นี้ เป็นข้อปฏิบัติของ สามเณร สามเณรี และสิกขมานา (ผู้ที่ขอบวชเป็นภิกษุณี ซึ่งต้องบวชเป็นสามเณรี และไม่ผิดศีลข้อ1 2 3 4 5 6 เป็นเวลาถึง 2 ปีโดยไม่ขาดศีลทั้ง 6 ข้อโดยไม่ขาดเลย แต่ข้อ 7 8 9 10 ขาดได้บ้าง ) รวมทั้งเป็นข้อปฏิบัติของ สมณะนักบวชนอกพระศาสนา (หนึ่งในเทวทูต4) ก็ถือศีล10 มาก่อน เป็นศีลขั้นต่ำของพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายมีปกติไม่ผิดศีลข้อ1 ถึงข้อ 9 ตลอดชีวิต และมีปกติรักษาศีลข้อ10เป็นธรรมชาติ ถ้าพระอรหันต์มีปกติผิดศีลข้อ 10 หรือครองเพศฆราวาสอันมิใช่สมณะเพศย่อมละสังขารนิพพานไป ภายใน 1 วัน
.........................

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หลักธรรมตามแบบ ทศพิธราชธรรม

1. อาชชวะ ซื่อตรง ปฏิบัติการกิจโดยสุจริต มีความจริงใจ
2. ศิล ความประพฤติดีงาม รักษากิตติคุณ ประพฤติให้เป็นตัวอย่าง และเป็นที่เคารพนับถือ มิมีข้อให้ผู้ใดดูแคลน
3. อวิหิงสา ไม่หลงระเริงอำนาจ ไม่บีบคั้นกดขี่ ไม่หาเหตุเบียดเบียนหรือลงโทษ ด้วยอาศัยความอาฆาตเกลียดชัง
4. อักโกธะ ไม่เกรียวกราด ไม่วินิฉัย ด้วยอำนาจ ความโกรธ วินิฉัยความและกระทำการด้วยจิตอันสุขุมราบเรียบตามธรรม
5. มัทฑวะ มีอัธยาศัย ไม่เย่อหยิ่ง หยาบคาย ถือตัว กระด้าง มีความสง่างาม กิริยาสุภาพนุ่มนวล ได้รับภักดี แต่มิขาดยำเกรง
6. ทาน การให้ บำรุงเลี้ยงเท่าที่สามารถ ช่วยเหลือ สงเคราะห์ และบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์
7. บริจาค การเสียสละเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง และชนส่วนใหญ่ โดยไม่หลังตอบแทน
8. ตะบะ แผดเผากิเลสตัณหามิให้ครอบงำจิต ระงับใจไม่ให้หลงไปกับความสำราญ มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ ง่าย ๆ สามัญ แต่มุ่งมั่นทำกิจในหน้าที่ของตนให้บรรลุผลสมบูรณ์
9. ขันติ อดทน ต่องาน ต่อความเหนื่อยยากลำบาก แม้จะน่าเบื่อหน่ายเพียงใดก็ไม่ย่อท้อ ไม่หมดกำลังใจ ไม่ละทิ้งกิจที่บำเพ็ญโดยชอบธรรม
10. อวโรธนะ วางตนเป็นหลัก หนักแน่นในธรรมคงที่ ไม่เอนเอียงและหวั่นไหวเพราะเหตุจาก ถ้อยคำ ดี ร้าย ลาภ สักการะ สถิตมั่นในธรรม ไม่ประพฤติให้คลาดเคลื่อนวิบัติไปจาก ความเพียรในธรรม นิติธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม

วิธีการครองใจคน

การครองใจคนหรือการทำให้คนอื่นรักนั้น เป็นศิลปะพิเศษอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะแก่คนที่หวังความเจริญก้าวหน้า และหวังที่จะมีชีวิตอยู่เป็นปกติในสังคม คนที่ครองใจคนอื่นได้ย่อมได้รับการยอมรับและการช่วยเหลือสนับสนุนจากคนที่เราครองใจไว้ได้นั้นเป็นอันดี ทั้งในยามปกติและตกทุกข์ได้ยาก วิธีครองใจหรือการทำให้คนรัก มี 2 แบบ คือ
1. แบบโลกวิธี คือ วิธีที่ชาวโลกนิยมทำกัน เช่น การให้เกจิอาจารย์ ผู้มีคาถาอาคมแก่กล้า สัก เสก ลงเลขยันต์ ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออาบน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก การใช้วัตถุมงคล ตลอดจนเครื่องรางของขลังและว่านเสน่ห์ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้ตนเองมีเสน่ห์เป็นที่รักและเป็นที่นิยมของผู้คน ทังนี้สุดแท้แต่ทัศนคติ ความคิดเห็น ความเชื่อของแต่ละบุคคล ซึ่งผลที่ได้รับยังหาความแน่นอนไม่ได้ ส่วนมากมักถูกหลอกลวงต้มตุ๋น จากพวงมิจฉาชีพที่อาศัยเป็นช่องทางทำมาหากินในทางทุจริต ทำให้สูญเสียเงินทองไปกับเรื่องแบบนี้ไม่น้อย ถึงกระนั้น ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ทั่วไป
2. แบบพุทธวิธี คือ วิธีที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ โดยเน้นไปที่การเริ่มต้นที่ตนเองจัดการกับตัวเองให้เป็นคนน่ารัก ยึดหลักว่า “ถ้าเราทำตัวให้น่ารัก คนอื่นเขาก็รัก ถ้าเราทำตัวให้ น่าเกลียด คนอื่นเขาก็เกลียด” โดยปฏิบัติตามหลักธรรม ดังนี้
* โอบอ้อมอารี (ทาน) คือให้เป็นคนมีน้ำใจ สมัครใจที่เป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ รู้จักเผื่อแผ่เจือจานสิ่งของเครื่องใช้แก่ผู้อื่น ในสิ่งที่เขาขาดแคลนบกพร่อง
* วจีไพเราะ (ปิยวาจา) คือให้เป็นคนพูดจาสุภาพนุ่มนวลด้วยน้ำใสใจจริง ไม่แสแสร้งแกล้งทำ หลีกเลี่ยงคำพูดอันเป็นเท็จ คำพูดส่อเสียด ยุให้รำตำให้รั่ว คำพูดหยาบคาย และคำพูดเพ้อเจ้อไร้สาระ
* สงเคราะห์ปวงชน (อัตถจริยา) คือ ให้ทำตนเป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่นช่วยเหลือเอาใจใส่ในกิจการต่าง ๆ ด้วยแรงกาย แรงใจ และด้วยคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ด้วยความเต็มใจ เต็มความรู้ความสามารถ ทำอย่างไรก็ได้ที่ให้เขาเห็นว่าเราเต็มใจช่วยเขา
* วางตนเหมาะสม (สมานัตตตา) คือ ให้เป็นคนดีที่เสมอต้นเสมอปลาย ทำต่อเนื่องไม่เป็นคนขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย และให้เป็นคนที่รู้จักทำตัวเป็นกันเอง เข้ากับผู้อื่นได้ ใครคบค้าด้วยก็สบายใจ ไม่เครียด ไม่ทำตัวให้สูงหรือต่ำเกินไปนัก รู้จักกาลเทศะในการวางตัว
วิธีครองใจคนทั้ง 2 แบบนี้ หากเราเคยปฏิบัติแบบโลกวิธีมาแล้ว ได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผลขอแนะนำให้ปฏิบัติแบบพุทธวิธีดูบ้าง แล้วจะรู้สึกว่าวิธีครองใจคนไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไรเลย

ตัวอย่างสิบวิธีสร้างรอยยิ้มในครอบครัว

- สัญญากับตนเองไม่ทำผิดซ้ำ
- ชมกันหน่อย
- ให้กำลังใจกันบ้าง
- ฟังเขาพูดมากกว่าพูดให้เขาฟัง
- ถามไถ่ทุกข์สุขกันบ้าง
- รู้จักปฏิเสธงานสังคมเมื่อต้องปฏิเสธ
- ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว
- กล่าวคำขอโทษ ให้เป็น
- อดทน อดกลั้น ระงับโทสะ
- ลดทิฐิ หมั่นกล่าวคำขอบคุณ

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คำอธิษฐานก่อนนั่งสมาธิ

คำอธิฐานก่อนนั่งสมาธิ อีกแบบหนึ่ง
ให้อธิษฐานจิตว่า “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้ บุญกุศลที่เกิดจากการนั่งภาวนาของข้าพเจ้าคราวนี้ต่อไปนี้ จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวร ทั้งที่อยู่ภายในทั้งที่อยู่ภายนอกร่างกายข้า และที่จะกำลังจะมาถึงตัวข้าในเร็วๆ รวมทั้งจงสำเร็จแก่เทวดาประจำตัวข้า จงสำเร็จแก่นาค ครุฑ อสูร คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยักษ์ กินราที่อยู่บริเวณนี้ บ้านนี้ เมื่อพวกท่านเห็นบุญที่เกิดจากการนั่งสมาธิของข้าไปถึงแก่พวกท่าน ขอให้พวกท่านยินดีรับเอาไว้เลยแล้วอย่าได้ขัดขวางการปฏิบัติภาวนาของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะอุทิศบุญให้อีก” ดังนี้
หมายเหตุ.- ถ้าต้องการจะอุทิศเจาะจงให้ใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ให้อธิษฐานเอาเอง แต่บุญที่เกิดจากการภาวนานั้นผู้ที่อยู่ในภพภูมิต่ำๆ เช่น ผี ปีศาจ ผีเชื้อโรค ฯลฯ รับได้ยาก ฉะนั้นหากเราต้องการโอนบุญที่เกิดจากการภาวนาให้เขาเหล่านั้นก็ให้อธิษฐานแปรสภาพบุญให้เหมาะสมกับเขาเหล่านั้นก่อนเพื่อเขาจะรับได้ง่ายขึ้น

“บุญกุศลใดที่เกิดจากการเผยแพร่ข้อความทั้งหมดนี้ เมื่อบุญเกิดแล้ว ขอบุญนี้จงเป็นของผู้ที่อยู่ในโลกทิพย์ดังต่อไปนี้
จงเป็นของเหล่าอมนุษย์ที่ดูแลรักษาหลวงพ่อเกษม อาจิณณสีโล จงเป็นของนายเวรของหลวงพ่อทั้งที่เดินทางมาถึงและที่กำลังก่อกวนอยู่ตามร่างกายขององค์ท่าน
จงเป็นของเหล่าอมนุษย์ที่ดูแลรักษาคณะผู้จัดพิมพ์หนังสือ จงเป็นของนายเวรของคณะผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้งที่เดินทางมาถึงและที่กำลังก่อกวนอยู่ตามร่างกายของคณะผู้จัดพิมพ์
จงเป็นของเหล่าอมนุษย์ที่ดูแลรักษาผู้นำบทความนี้มาเผยแพร่ จงเป็นของนายเวรของผู้นำบทความนี้มาเผยแพร่ทั้งที่เดินทางมาถึงและที่กำลังก่อกวนอยู่ตามร่างกายของผู้นำบทความนี้มาเผยแพร่
จงเป็นของเหล่าอมนุษย์ที่ดูแลรักษาผู้อ่าน จงเป็นของนายเวรของผู้อ่านทั้งที่เดินทางมาถึงและที่กำลังก่อกวนอยู่ตามร่างกายของผู้อ่าน รวมทั้งเป็นของเหล่าญาติทิพย์ของทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อความทั้งหมดนี้
และจงเป็นของเหล่าอมนุษย์ทุกๆ ตนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อความทั้งหมดนี้
เมื่อทุกๆ ท่านได้รับบุญแล้วจงสนับสนุนส่งเสริมญาติของท่านให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ถ้าหากญาติของท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่พ้นไปจากอาสวะแล้วขอให้ท่านทั้งหลายจงช่วยให้ท่านเป็นอยู่ด้วยความผาสุกตามที่ท่านทั้งหลายปรารถนาเทอญ...

หากมีข้อความใดผิดไปจากหนังสือเดิมก็ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ เพราะข้อความทั้งหมดนี้พิมพ์ขึ้นมาใหม่จากหนังสือเล่มเดิมของคณะศิษย์วัดสามแยก ทั้งนี้ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเผยแพร่ คำสอนของพระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโล เพื่อเป็นธรรมทาน ในอีกช่องทางหนึ่ง..

การเบิกบุญ การโอนบุญ

การเบิกบุญที่เคยทำไว้โอนออกไปให้ญาติในโลกทิพย์
“ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญที่ข้าให้ถึงแก่ ปอบ เปรต ผี ปีศาจ เทวดา มาร พรหม ยักษ์ คนธรรพ์ ภุมภัณฑ์ เงือก นาค ครุฑ อสูร กินราที่เป็นญาติข้า จงเป็นสุขจากบุญที่ข้าให้นี้เถิด” (กลุ่มญาติ พอเราส่งบุญให้ ได้บุญก็จะดูแลปกป้องรักษาให้เราปลอดภัยจากเจ้ากรรมนายเวรที่จะมาถึงตัวเราและก็จะดูแลบ้าน กิจการค้าขายให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป หลวงพ่อท่านว่า เหมือนเรามียามแล้วให้เงินเดือนกินได้กินอิ่มก็ดูแลบ้านเราดี ไม่จ่ายเงินเดือนให้และกินไม่อิ่ม จะเอาแรงที่ไหนมาปกป้องบ้านเรา)
การเบิกบุญที่เคยทำไว้โอนออกไปให้เจ้ากรรมนายเวร
“ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้นายเวรข้าที่เดินทางมาถึงและกำลังก่อกวนข้าอยู่ในเวลานี้เมื่อรับบุญแล้วจงเป็นสุขเถิด ข้าขออภัยในความผิดที่ข้าเคยทำกับพวกท่านไว้ เรามาสร้างบุญร่วมกันมามีความสุขไปด้วยกันเถิด”
การเบิกบุญที่ทำไว้โอนออกไปให้นายเวรฆ่า
“ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้แปรสภาพเป็นร่างกายข้าไปให้นายเวรที่จะเข้ามาทำร้ายข้า ให้เขาได้แก้แค้นร่างกายที่เกิดจากบุญที่ข้าพเจ้า ส่งไปให้นั้นเถิด” (หลวงพ่อบอกว่า บุญที่เราโอนให้จะเนรมิตเป็นตัวเราไปให้เจ้ากรรมนายเวรฆ่า คือในกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรไม่ยอม เขาต้องการจะล้างแค้นเราอย่างเดียว เขาก็จะได้ฆ่าตัวปลอมที่เราแปรสภาพบุญส่งไป ใครเจอเหตุการณ์ไม่ดีในชีวิตก็ลองเอาไปปฏิบัติพิสูจน์ดูมันไม่ยากอะไร เงินก็ไม่เสียเหมือนมีคนเอาผลไม้ให้เราชิมบอกว่าหวาน เราไม่ชิมจะรู้ได้อย่างไรว่าหวาน) วิธีนี้ได้มา คณะศิษย์วัดสามแยกได้เข้าไปกราบหลวงพ่อเมื่อวันที่ 19 พ.ย.2548)
วิธีปฏิบัติการเบิกโอนบุญประจำวัน
ตื่นเช้า เบิกบุญให้ผู้ที่มาเกี่ยวข้องกับเราโดยทางฝันรวมทั้งให้เทวดาประจำตัว เจ้ากรรมนายเวรที่เบียดเบียนทั้งภายนอกและภายในกายของเราตลอดถึงภูตผี ปีศาจ เปรต ปอบ นาค ครุฑ อสูร ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยมทูต เทวดา มาร และพรหมที่เป็นญาติของเรา ที่อยู่บริเวณบ้านนี้
เข้าห้องน้ำ เบิกบุญให้แบคทีเรียจุลินทรีย์ต่างๆ ที่ตายจากการที่เราอาบน้ำชำระร่างกายต่างๆ รวมทั้งให้เชื้อโรคต่างๆ ที่ออกไปจากร่างกายของเราเพราะการขับถ่ายด้วย ก่อนออกจากห้องน้ำก็เบิกบุญให้กับเชื้อโรคทั้งหมดที่อยู่ในห้องน้ำ
เวลากินข้าว เบิกบุญให้กับวิญญาณสัตว์ที่สถิต ในผัก ในข้าว ในเนื้อสัตว์ ในน้ำ ในอาหารทั้งหมดนั้นรวมทั้งให้กับดวงใจสัตว์ตัวที่เรานำมาทำอาหารด้วย
ไปทำงาน เบิกบุญให้เทวดาประจำรถ และภูตผีปีศาจที่อยู่กับรถและบอกเทวดาให้คุ้มครองป้องกันให้การเดินทางปลอดภัย
ขณะเดินทาง เบิกบุญให้ภูตผีปีศาจ ปอบ เปรต เทวดา ฯลฯ ที่อยู่ตามถนนหนทาง
ถึงที่ทำงาน เบิกบุญให้เทวดาประจำตัวผู้ร่วมงานทั้งหลาย และภูตผีปีศาจ ปอบ เปรต อสูร ฯลฯ ที่อยู่ในที่ทำงาน
กลับจากทำงาน เบิกบุญให้เทวดาประจำรถ และภูตผีปีศาจ ปอบ เปรต ฯลฯ ที่อยู่ในรถ และตามถนนที่จะเดินทางกลับ
เมื่อถึงบ้าน ก็เบิกบุญให้ หมู่ภูตผีปีศาจ ปอบ เปรต อสูรกาย นาค ครุฑ อสูร ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยมทูต เทวดา มาร และพรหมที่เป็นญาติ ของเรา ทำกิจธุระส่วนตัวใดๆ ก็เบิกบุญให้ เหมือนตอนเช้า
ถ้านอนไม่หลับ ให้เบิกบุญให้เจ้ากรรมนายเวรที่เบียดเบียนอยู่ทั้งภายนอกและภายในและรอบดวงจิตของเรา หรือให้ผู้ที่ทำให้ข้านอนไม่หลับอยู่ในเวลานี้ เป็นต้น
(ทุกครั้งที่เบิกบุญให้ว่า “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้...........)
วิธีอนุโมทนาบุญ
คือร่วมยินดีในขณะที่เห็นผู้อื่นทำความดี เช่น ถวายสังฆทานใส่บาตร ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เป็นต้น บุญจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อเราร่วมยินดีกับการที่เห็นผุ้อื่นทำความดีนั้นแล้วให้คิดว่า “สาธุบุญนี้ให้..........” (อธิษฐานให้ตามที่ปรารถนา)
ประโยชน์ของการโอนบุญ
1.ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่มาเบียดเบียนหรือหากป่วยอยู่ก็ทำให้หายเร็วขึ้น
2.ประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจและมุ่งหวัง เพราะเทวดาที่ดูแลเราช่วยเหลือและเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นศัตรูกลับกลายเป็นมิตร
3.ครอบครัวมีความสุข ลูกเชื่อฟัง พ่อแม่
4.ช่วยให้จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา
5.การเดินทางปลอดภัย เพราะเป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์
6.ปฏิบัติธรรม เจริญในธรรมปัญญาเกิดขึ้นง่าย

การอุทิศบุญให้ผู้ที่อยู่ในโลกทิพย์

การอุทิศบุญให้ผู้ที่อยู่ในโลกทิพย์มี 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1.กลุ่มที่เขาเป็นญาติของเราตั้งแต่อดีตชาติและปัจจุบันชาติ ที่ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นอยู่ในกลุ่มเหล่านี้มี ผี ปีศาจ เปรต ปอบ ยมทูต ยมบาล เงือก นาค กินรา ครุฑ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยักษ์ เทวดา มารพรหม
2.กลุ่มที่คอยติดตามดูแลรักษาไม่ว่าเราจะเดินทางไปที่ไหนๆ มี ผี ปีศาจ ยมทูต (เป็นบางครั้ง) เงือก นาค กินรา ครุฑ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยักษ์ เทวดา มาร พรหม
3.กลุ่มนายเวรหรือกลุ่มที่คอยเล่นงานเรา เพราะมีความเคียดแค้นเรามี ผี ปีศาจ เปรต นาค ครุฑ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยักษ์ เทวดา มาร ฯลฯ แม้พวกที่มาคอยสิงคอยทรงก็ถือว่าเป็นนายเวรด้วยเช่นกัน
กลุ่มนี้จะทำให้เราไม่สบายทำอะไรก็ติดขัดไปหมดมีกิจการก็ซบเซา ยิ่งคนที่ฆ่าสัตว์มาก ยิ่งมีเวรมาก (หลวงพ่อท่านว่าอย่างฆ่าไก่ ไปตัวหนึ่งไรที่อยู่กับไก่ เป็นหมื่นๆ ตัว ก็ตายไปด้วย ผีไก่ผีไรมันก็แค้นเรา เราต้องส่งบุญให้มัน เมื่อมันได้แล้วมันเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิที่ดีขึ้นมันก็หายแค้นเรา)
4.กลุ่มเชื้อโรคเชื้อจุลินทรีย์ กลุ่มนี้บางพวกก็เป็นนายเวรบางพวกก็เป็นผู้ดูแลรักษาอาศัยอยู่ตามระบบต่างๆ ของร่างกาย ถ้าเราอุทิศบุญให้เขา เขาก็จะเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิที่ดีขึ้นไม่กลับมาเกิดในร่างกายของเราอีก บางพวกเขาจะรับบุญได้ทันที แต่บางพวกก็ต้องตายก่อนจึงจะรับบุญได้ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเขามีมากมายหลายล้าน ย่อมมีตัวตายตัวเกิดอยู่เนืองๆ เมื่อเราอุทิศบุญให้แล้ว เขาก็ได้รับทันที

การอุทิศบุญหรือการโอนบุญในชีวิตประจำวัน

การอุทิศบุญหรือการโอนบุญในชีวิตประจำวัน
ตอนเช้า -- ทำกับข้าให้บิดา มารดา หรือสามี ภรรยา รับประทาน
-- ป้อนเข้าให้ลูก -- ให้เงินลูกไปโรงเรียน
-- ให้ข้าวสุนัข -- ดูทีวีแล้วจิตมีความสุข
บุญเหล่านี้สามารถโอนบุญได้ทันทีโดยตั้งจิตอธิษฐานว่า “บุญที่เกิดจากการ .................... ( ทำกับข้าให้บิดา มารดา หรือสามี ภรรยา รับประทาน ป้อนเข้าให้ลูก ให้เงินลูกไปโรงเรียน ให้ข้าวสุนัข ดูทีวีแล้วจิตมีความสุข) ขอยกให้กับ ...........................(เจ้ากรรมนายเวรที่เบียดเบียนข้าพเจ้า เทวดาผู้รักษาข้าพเจ้า เทวดาผู้รักษาพ่อแม่ ข้าพเจ้า ฯลฯ)
ขณะทำงาน (ตอนกลางวัน) -- ขณะยื่นงานให้เจ้านาย -- เลี้ยงอาหารผู้ร่วมงาน ฯลฯ
-- หยิบสิ่งของส่งให้เพื่อนตามที่เพื่อนบอก
ตอนกลางคืน -- ห่มผ้าให้ลูก หรือสามี ภรรยา เมื่อได้ดู ฟังธรรม แล้วเกิดความรู้หรือเมื่อได้ปฏิบัติธรรมภาวนาอบรมใจ ฯลฯ
เมื่อได้กระทำต่างๆ ดังว่ามานี้ สามารถโอนบุญออกไปให้ผู้ที่อยู่ในโลกทิพย์ที่เราต้องการให้ได้ทันที “แต่บุญที่เกิดจากการภาวนานั้นผู้ที่อยู่ในภพภูมิต่ำๆ เช่น ผี ปีศาจ ผีเชื้อโรค ฯลฯ รับได้ยาก ฉะนั้นหากเราต้องการโอนบุญที่เกิดจากการภาวนาให้เขาเหล่านั้น เราต้องอธิษฐานแปรสภาพบุญให้เหมาะสมกับเขาเหล่านั้นก่อนเพื่อเขาจะรับได้ง่ายขึ้น โดยคิดก่อนที่จะภาวนาดังนี้ “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้บุญที่เกิดขึ้นในขณะที่ข้าพเจ้า ภาวนาคราวนี้ แปรสภาพเป็นสิ่งต่างๆ (ปัจจัยสี่) ตามแต่อมนุษย์แต่ละดวงใจ ที่มาเกี่ยวข้องกับข้าอยู่ในเวลานี้เขาต้องการ แล้ว ขอให้บุญที่แปรสภาพแล้วนั้นเป็นของอมนุษย์แต่ละดวงใจเหล่านั้นตามที่เขาปรารถนานั้นเทอญ” ดังนี้
หมายเหตุ.- ตรงถัดจากคำว่า “..แปลสภาพเป็นนั้น..” เราจะระบุชัดๆ ลงไปเลยก็ได้ว่า “แปรสภาพเป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย ฯลฯ ก็ได้เช่นกัน แล้วตรงที่ว่า “..ตามแต่อมนุษย์แต่ละดวงใจ..” เราจะเปลี่ยนเป็นว่า “..ตามแต่เทวดา เปรต ผี ปีศาจ ที่อยู่บริเวณบ้านข้า..” หรือ “..ตามแต่เจ้ากรรม นายเวรของข้า / ของสามี ภรรยา ของลูก ของบิดา มารดา ฯลฯ..ที่เดินทางมาถึงแล้วในเวลานี้..” ดังนี้ (คำคิดนี้จะไม่ตามนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ สุดแต่จะพลิกแพลงใช้เอาแต่อย่าให้หนีจากหลักนี้ เป็นใช้ได้)
ก่อนจะนอนให้คิดอุทิศบุญดังนี้
“ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญข้าพเจ้าให้เทวดาผู้เฝ้าอยู่บริเวณนี้ จงจัดการวางยามให้เรียบร้อย ให้ตัวข้าพเจ้าได้นอนหลับอย่างสบาย ท่านผู้ใดเป็นหมอยา ให้มาตรวจรักษาข้าได้ในเวลาที่ข้าหลับเพื่อให้ข้าปลอดภัย บุญนี้ให้แก่พวกท่าน”

การอบรมลับทางกระแสจิต

การอบรมลับทางกระแสจิต
คือการที่เราอบรมคน ๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นลูก หลาน สามี ภรรยา ลูกน้อง ฯลฯ ให้เขาเป็นคนดีโดยใช้วิธีอบรมเขา เพราะเมื่อเราอบรมเขาตรงๆ เขาไม่เชื่อฟัง –ไม่ยอมฟัง จึงต้องใช้วิธีอบรมในทางลับ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการจะอบรมลูกให้เป็นคนดี ตั้งใจเรียน เชื่อฟังพ่อแม่ ก็ให้วาดมโนภาพขึ้นว่าตอนนี้เราไปอยู่ข้างๆ ลูก (สมมติเราอยู่คนละห้องกับลูก) แล้วก็คิดอบรมสั่งสอนเขาตามที่เราต้องการ วิธีนี้ใครที่มีลูกไม่ดี สามี ภรรยาไม่เข้าท่า สามารถนำเอาไปใช้ได้ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้กับผู้ดูแลรักษาเขา นายเวรที่ก่อกวนเขาอยู่ด้วยก็จะเห็นผลเร็วยิ่งขึ้น
การเปิดโอกาสให้ญาติต่างๆ เข้าสิงสถิตในทรัพย์สมบัติ
“ข้าขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้................. เปิดโอกาสให้ ปอบ เปรต ผี ปีศาจ เทวดา มาร พรหม ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ เงือก นาค ครุฑ อสูร กินรา ที่เป็นญาติข้าพเจ้าและผู้อยากเป็นญาติข้าจงตั้งใจขอเป็นญาติข้าแล้วเข้าสถิตตามสมควรแก่ภูมิของตนเถิด ข้าจะทำบุญให้เมื่อได้รับบุญแล้วจงช่วยข้าให้กิจการที่ข้าทำอยู่นี้เจริญรุ่งเรือง เรามามีความสุขร่วมกัน ตลอดไปเถิด” ดังนี้
หมายเหตุ.- ตรงที่เว้นวรรค .... ไว้นั้น หากใครจะเปิดโอกาสให้เขาเข้าสถิตตามบ้านก็ให้บอกว่า “บ้านข้าพเจ้า” หากใครจะเปิดโอกาสให้เขาเข้าสถิตตามรถก็ให้บอกว่า “รถคันนี้” ดังนี้ตามสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เปิดให้เขาเข้าสถิตได้ทั้งนั้น วิธีนี้จะทำให้สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มีผู้ช่วยดูแลรักษาอีกทางหนึ่ง เช่นเวลารถเสียอยู่ในที่เปลี่ยวเขาก็จะสามารถช่วยให้วิ่งไปจนถึงอู่ซ่อมได้ หากเป็นบ้านเรือนหรือรถหรือเรือก็ตาม ให้นำกระดาษมาเขียนตามข้อความดังกล่าวนั้น แล้วนำไปติดที่ใดที่หนึ่ง ถ้าเป็นบ้านก็นำไปติดไว้ที่หน้าประตูหรือที่ใดก็ได้ตรงด้านหน้าบ้านที่เห็นว่าเหมาะ ถ้าเป็นรถ เรือ ก็ติดไว้ที่ด้านในของหัวเก๋งรถ เรือนั้นเอง แล้วก็ให้อธิษฐานตามนั้น แล้วก็อย่างลืมอุทิศบุญให้เขาบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน

วิธีที่จะให้เทพที่เป็นหมอมาทำการรักษาตัวเรา

ให้ตั้งจิตก่อนที่จะนอนหลับดังนี้
       “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้เหล่าเทพเทวาที่เป็นญาติข้าพเจ้า จงได้ยินเสียงข้าพเจ้า ในเวลานี้ด้วยเถิด ขอให้ท่านทั้งหลายจงไปนำเทพที่เป็นหมอมาทำการตรวจรักษาข้าในเวลาที่ข้าหลับด้วย ข้าจะเปิดโอกาสไว้ ข้าพเจ้า มีอาการ......................(บอกอาการไป) เมื่ออาการดีขึ้นข้าพเจ้า จะทำบุญให้แก่พวกท่านยิ่งๆ ขึ้นไป” ดังนี้
         แล้วแต่ไปให้คิดดังนี้ว่า
       “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลร่างกายข้า ให้เปิดโอกาสแก่เหล่าเทพที่เป็นหมอให้เข้าตรวจร่างกายข้าพเจ้า ในเวลาที่ข้าหลับได้ด้วยเถิด” ดังนี้
แล้วให้คิดจ่ายบุญดังนี้ว่า
        “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญของข้าพเจ้า จงไหลรวมมาสู่ข้าพเจ้า ในเวลานี้ แล้วขอให้บุญนี้จงอยู่กับข้าพเจ้า แล้วหากผู้ใดไปนำหมอเทพมา และหมอเทพใดที่มาทำการตรวจรักษาข้าพเจ้า ขอบุญนี้จงเป็นของท่านผู้นั้น” ดังนี้
         หมายเหตุ.- แล้วอย่าลืมเอาบุญให้ญาติทิพย์ของตนและเหล่าเทพที่มาทำการรักษาบ่อยๆ ด้วย ยาก็ให้กินด้วย หากเป็นยาสมุนไพรก็ให้เอาบุญให้แก่เหล่าเทพที่รักษาต้นยาที่เอามากินนั้นด้วย แล้วก็เอาบุญให้ผู้ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยตรงนั้นๆ ด้วย
           อนึ่งวิธีนี้สามารถสลับสับเปลี่ยน - ซิกแซกตามแต่ใครจะคิดเอา แต่อย่าให้หนีจากหลักนี้ เช่น ขอเชิญเอานาค มาทำการรักษา ฯลฯ ก็ได้เช่นกัน

ผลของการส่งบุญ

ผลของการส่งบุญ

ทำให้เทวดาที่ได้รับบุญแล้วมีอิทธิฤทธิ์ขึ้น สามารถช่วยเหลือผู้ส่งบุญให้ได้รับความสำเร็จเทวดาที่รักษาเคหะสถานบ้านเมืองบางแห่งสามารถจำแลงแปลงกายเป็นเจ้าของบ้าน เปิด-ปิด ทีวี วิทยุ และไฟฟ้าในบ้านได้เอง ทำให้พวกลักเล็กขโมยน้อยไม่กล้าเข้าไปลักขโมยเพราะเข้าใจว่าเจ้าของบ้านอยู่ในบ้าน ทั้งที่ความจริงไม่มีคนอยู่ในบ้านเลย เทวดาสามารถป้องกัน ไม่ให้เกิดไฟไหม้บ้าน ป้องกันอันตรายจากพายุ ต้นไม้หักโค่นล้มทับบ้าน บ้านไหนถูกไฟไหม้แสดงว่าเทวดาไม่รักษาเพราะเจ้าของบ้านมีบาปกรรม และไม่เคยส่งบุญให้เทวดาและเจ้ากรรมนายเวร หากทำการส่งบุญอยู่เสมอจะมีเหตุแปลกเกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น พัดลมปิดเอง ไฟฟ้าปิดเอง ถ้าทำอะไรที่ไม่เหมาะสมจะมีสิ่งบอกเตือนเกิดขึ้นให้ได้สังเกต
ทำให้เจ้ากรรมนายเวรหยุดการจองเวรแล้วกลับมาเป็นเทวดาที่คอยช่วยเหลือปกปักรักษาเรา
ทำให้เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์-สัตว์ทั้งหลายไปทางไหนมีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น
สามารถห้ามฟ้าฝน หรือขอฝนให้ตกได้
การเดินทางจะไม่มีอุบัติภัยตามท้องถนน เมื่อจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้า จะมีเหตุให้รถเราต้องติดขัดไม่สามารถวิ่งต่อไปข้างหน้าได้ เมื่อเหตุผ่านพ้นไปแล้วรถเราจะกลับมาดีเอง
ธุรกิจการค้า หน้าที่การงาน จะเจริญรุ่งเรือง จะพบช่องทางทำมาหากินที่แจ้งชัด ถ้าตกงานก็จะได้งานทำ ถ้าเจ้านายเกลียดไม่ชอบหน้า ก็จะรักชอบขึ้นมา
ร้านอาหาร ร้านขายของ จะมีแขกเข้าร้านมากกว่าเดิม อย่าลืมถ้ามีคนมาอุดหนุนให้อธิษฐานบุญให้แก่เทวดาที่รักษาลูกค้าด้วย ต่อมาเทวดาที่รักษาลูกค้าจะดลใจให้ลูกค้ากลับมาอุดหนุนเราอีก
นอนหลับสบาย ไม่สะดุ้ง ผวาด้วยภัยอันตรายรอบทิศทางแม้ฝันก็ฝันดี
ร่างกายจะแข็งแรงสุขภาพสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน เทวดาประจำตัวจะดลใจให้ออกกำลังกาย และดื่มกินแต่ของที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ครอบครัวจะอยู่กันอย่างมีความสุข มีความเข้าอกเข้าใจกัน
เพื่อนบ้านจะรักใคร่ปรองดองกัน ไม่เบียดเบียนส่อเสียดกัน ให้ความเกรงอก เกรงใจซึ่งกันและกัน

การให้ทาน

การให้ทานแก่บุคคลย่อมมีผลบุญแตกต่างกัน
ให้ในพระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานย่อมเกิดผลมากกว่าให้พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว
ให้ในพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ในสถานภาพปกติ
ให้ในพระพุทธเจ้า ย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระอรหันต์
ให้ในพระอรหันต์ ย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระอนาคามี
ให้ในพระอนาคามี ย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระสกทาคามี
ให้ในพระสกทาคามี ย่อมมีผลมากกว่าให้แก่พระโสดาบัน
ให้ในพระโสดาบัน ย่อมมีผลมากกว่าให้แก่ผู้ทรงฌาน
ให้ในพระผู้ทรงฌาน ย่อมมีผลมากกว่าให้แก่พระผู้ประพฤติศีลตามปกติ
ให้ในผู้มีศีล ย่อมมีผลมากกว่าให้แก่ผู้ไม่มีศีล
ให้ในคน ย่อมมีผลมากกว่าให้แก่สัตว์
ให้ในสัตว์ผู้โพธิสัตว์ ย่อมมีผลมากกว่าให้แก่สัตว์ธรรมดา
ให้ในสัตว์ที่มีคุณ ย่อมมีผลมากกว่าให้แก่สัตว์ที่ไม่มีคุณ แม้กระทั่งแต่การให้อาหารมด ปลวก ก็ยังเกิดบุญกุศล ดังคำกล่าวว่า “การให้ย่อมเกิด บุญกุศลทั้งสิ้นแต่มากน้อยต่างกัน” นี่คือความแตกต่างของนาบุญ ถ้ารู้จักเลือกให้เลือกเถิด ถ้าเลือกไม่ได้ก็ให้ถวายในสงฆ์รวมก็มีอานิสงส์มาก
เมื่อตั้งใจรักษาศีล ก็ย่อมเกิดบุญกุศลขึ้นทุกครั้งที่ระลึกถึงศีลตัวเอง รักษาดีแล้วไม่ด่างพร้อย ก็อธิษฐานส่งบุญได้ว่า “บุญที่ข้าพเจ้าได้รักษาศีลนี้ขอบมอบแก่ ....(จะให้ใครก็คิดอุทิศได้เลย)”
ก่อนนั่งภาวนาทุกครั้งให้เริ่มคิดดังนี้ “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงดลบันดาลบุญที่ข้าพเจ้ากำลังจะภาวนาเวลานี้ จงสำเร็จแก่ผู้ต้องการบุญนี้ ผู้ใดคิดอยากได้ขอให้บุญภาวนาที่กำลังจะทำนี้เป็นของท่านตามปรารถนา” หรือเราจะให้ใครก็ได้ให้อธิษฐานเอาเอง แล้วก็เริ่มภาวนา หลังจาเลิกภาวนาก็ให้อุทิศบุญนี้ไปอีกครั้งหนึ่ง
.- บุญที่ภาวนานี้กำลังแรง พวกภูตผีชั้นต่ำมักรับไม่ค่อยได้จึงต้องเปิดจ่ายไว้ก่อนทำ เขาจะได้รับตามความสามารถของเขาเอง ถ้าภาวนาแล้วจึงให้ก็เปรียบเหมือนเราเปิดน้ำจากท่อดับเพลิงแล้วให้เขาภาชนะมารอง เขาจะรับไม่ได้เนื่องจากฐานจิตของเขาไม่แข็งแรงพอ ถ้าเราอธิษฐานเปิดไว้ก่อนแล้วก็เหมือนเปิดก๊อกน้ำออกค่อยๆ ใครมีภาชนะน้อยก็เอามารอง แต่สำหรับเทวดาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ท่านสามารถรับบุญใหญ่หลังภาวนาได้ เปรียบเหมือนท่านมีโอ่งมีถังขนาดใหญ่สำหรับรองรับน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิงนั่นเอง
การทำคุณงามความดีทุกครั้ง เช่นการได้ช่วยเหลือคน การได้ทำประโยชน์ส่วนรวม ย่อมก่อให้เกิดความปิติดีใจ นั่นแหละคือบุญให้รีบส่งบุญถึงผู้ที่เราต้องการให้บุญทันที
ส่งบุญเก่าที่ทำไว้แล้ว บุญที่เราทำไว้มีมากมายที่สะสมอยู่ในสรวงสวรรค์ ทั้งที่ทำไว้ในอดีตชาติหรือในชาตินี้ เราสามารถเบิกบุญนั้นมาแจกจ่าย อุทิศให้แก่ผู้ที่อยู่ในโลกวิญญาณได้ เหมือนเรามีเงินเก็บไว้ในธนาคาร เราก็อาศัยบัตร เอทีเอ็ม กดเงินออกมาใช้จ่ายได้ การเบิกบุญนั้นต้องอาศัยอำนาจ พระรัตนตรัย คือ ให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้บุญของข้าพเจ้า ถึงแก่ ...” จะให้ใครก็คิดเอาเอง การเบิกบุญแจกจ่ายนี้สามารถให้ได้ทุกเวลาเมื่อระลึกขึ้นได้ ไม่ว่าจะเดิน จะยืน นั่ง นอน กิน ดื่ม อุจจาระ ปัสสาวะ ก็สามารถอธิษฐานส่งบุญได้
คนในศาสนาไหนก็ส่งบุญได้ ไม่ว่า คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิก ฯลฯ ล้วนมี วิธีสร้างกุศลผลบุญสะสมคุณงามความดีด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเกิดบุญกุศลขึ้น สามารถส่งถึงผู้อยู่ในโลกทิพย์ได้ด้วยวิธีเดียวกัน ถึงเช่นกัน ก่อผลลัพธ์แบบเดียวกัน พุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่นตรงที่มีจุดสุดยอดของการหลุดพ้นจากทุกข์ คือนิพพาน มีแนวทางปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่จุดนั้นโดยเฉพาะ มีคำสอนเต็มไปด้วยเหตุและผลสามารถพิสูจน์ได้แบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งศาสนาอื่นไม่มี ส่วนการทำคุณงามความดีนั้นถึงแม้จะมีแนวทางแตกต่างกันก็เพียงปลีกย่อยเท่านั้น ไม่เป็นที่ขัดแย้งกัน

การอธิษฐานเบิกบุญเก่า

การอธิษฐานเบิกบุญเก่าอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่รบกวนควรทำวันละร้อยหรือพันหรือหมื่นรอบ จนเขาพอใจ อาการป่วยของเราจะหายเร็วขึ้น
วิธีการให้บุญ แก่เจ้าหรรมนายเวรควรทำดังนี้เป็นตัวอย่าง เช่น คนป่วยเป็นมะเร็ง จุดไหนก็ให้ส่งบุญตรงบริเวณนั้นให้คิดว่า “บุญนี้ ให้นายเวรที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยตรง บริเวณที่เป็นมะเร็ง เมื่อได้รับบุญแล้วขอให้พวกเจ้ามีชีวิตทีดีขึ้นมีภพภูมิที่สูงขึ้น จงหลุดจากภาวะชีวิตชั้นต่ำเดี๋ยวนี้ เมื่อเราหายแล้วจะทำบุญให้แก่พวกเจ้า ส่งชีวิตของพวกเจ้าให้สูงขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าจงเลิกจองเวรจองกรรมในเราเสียทีตั้งแต่นี้เราจะตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมเลิกการเบียดเบียนเข่นฆ่าชีวิตสัตว์อื่นของส่งบุญที่เกิดจากการรักษาศีลนี้แก่พวกเจ้าด้วย” ดังนี้
ผู้มีอาชีพเกี่ยวเนื่องกับการฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์อื่น เช่น เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ คนขายเนื้อสัตว์ ชาวประมง คนชายปลาสดตามตลาด เชือดไก่ขาย คนเหล่านี้ต้องสร้างบาปกรรมทุกวันๆ จึงก่อความเคียดแค้นชิงชังให้แก่สัตว์ที่ถูกฆ่าอยู่ทุกๆ ทุกวัน เขาก็พยายามจองล้างจองผลาญ แต่ในขณะที่บุญเก่าของผู้นั้นยังมีอยู่เจ้ากรรมนายเวรก็ทำอะไรไม่ได้ แต่หากว่านายเวรได้ช่องทางเมื่อไรวิญญาณสัตว์ที่เคียดแค้นเหล่านั้น (นายเวร) จะตามมาทวงและให้ร้ายทันที ดังนั้น ต้องพยายามไถ่ถอนกรรมของตัวด้วยการทำบุญ แล้วอุทิศให้วิญญาณสัตว์ที่ตัวเองฆ่าทำบ่อยๆ ส่งบ่อยๆ เอาเนื้อสัตว์ที่เราขายนั้น ทำอาหารถวายพระหรือเลี้ยงผู้อื่น อธิษฐานว่า “บุญนี้ให้สัตว์ทั้งหลายที่เราได้ฆ่าหรือผู้อื่นฆ่าเพราะคำสั่งเรา เหล่าสัตว์เหล่าใดได้รับบุญแล้วขอให้มีแต่ความสุขความเจริญ มีชีวิตวิญญาณที่ดีขึ้น จงหลุดพ้นจากกรรมเวรที่ตนเองสร้างไว้ จงมีภพภูมิที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเทวบุตรเทวดาในสรวงสรรค์ เมื่อได้รับบุญแล้ว จงอโหสิกรรมให้เราด้วย อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย เจ้าตายเพราะเราแต่ก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะเรา ดีกว่าเจ้าตายเองหรือฝีมือผู้อื่นซึ่งมีชีวิตทุกข์ทรมาน”
การขับไล่ผีหรือคุณไสยออกจากร่างผู้ป่วย เอาของให้ทานแก่ผู้ทรงศีล จะเป็นพระหรือฆราวาสก็ได้ แล้วอุทิศบุญเจาะจงถึงผีในร่างผู้ป่วยขอให้ได้รับบุญนี้เมื่อได้รับบุญแล้วโปรดออกจากร่างกายผู้ป่วยเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ยอมออก็ให้บ่อยๆ ให้สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้เงินห้าบาท สิบบาท ให้กาแฟหนึ่งแก้ว โอวัลตินหนึ่งแก้ว ฯลฯ แล้วอุทิศได้ทั้งนั้น แต่ห้ามถวายของที่ผิดวินัยพระ
หลีกเลี่ยงการสวดมนต์เพื่อขับไล่วิญญาณ บทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนวิญญาณในโลกทิพย์ให้ได้รับความเดือดร้อน ถ้าหยุดสวดไปเลยยิ่งดีจะได้ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับภูตผีปิศาจ หรือวิญญาณต่อไปอีก เพราะเขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็เป็นญาติ พี่ น้อง ของเรานี่เอง ถึงแม้เป็นพี่ น้องกันก็ตามหากก่อกวนเขาบ่อยๆ ก็กลายเป็นนายเวรขึ้นมาได้ ฉะนั้นก็ยังไม่ต้องสวดถ้ายังใช้ไม่เป็น ก็เพียงแต่ กราบ...พุทโธ แล้วก็อุทิศว่า “บุญนี้อุทิศให้แก่เหล่าเทพที่ดูแลข้า” รักษาบ้านข้า กราบ...ธัมโม “บุญนี้ให้เหล่านายเวรข้าที่เดินทางมาถึงและที่กำลังเล่นงานข้าอยู่” กราบ...สังโฆ “บุญนี้ใหแก่เหล่าเปรตผีปีศาจ ผีสัตว์เดรัจฉานที่มีอยู่ในบริเวณบ้านเรือนของข้า” หรืหากต้องอุทิศไปให้ใครก็ให้คิดเอาได้เลย เมื่อได้กราบอย่างนี้แล้วต่อไปแทนที่จะสวดมนต์ก็ให้คิดอธิฐานเบิกบุญมาจ่าย จ่ายแล้วจ่ายเล่า รอบแล้วรอบเล่า อยู่อย่างนั้น จนกว่าถึงเวลาพักผ่อนหลับนอนจึงหยุด ถ้าทำได้อย่างนี้ความสุขสบายจะเกิดกับครอบครัวนั้นๆ แน่นอน ทุกวันนี้กลายเป็นว่าไปที่วัดไหนๆ ก็สอนให้สวดมนต์ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะครูบาอาจารย์เหล่านั้นไม่ได้เห็นว่าอานุภาพการสวดมนต์เป็นอันตรายแก่ผู้ที่เขาอยู่ในภพภูมิต่ำๆ หรือถ้าเห็นก็ไม่นำมาพูด เพราะต้องทำให้พูดมากอธิบายมาก เดี๋ยวคนโน้นก็ว่าครูบาอาจารย์ทำมา เดี๋ยวกว่าสวดแล้วดี ต่างๆ นานา ไม่อยากพูดก็เฉยเงียบไปเลย... อย่างนี้ก็มี
แต่หากผู้ใดจะต้องการสวดให้ได้ ก่อนสวดก็ให้ตั้งจิตคิดประกาศบอกเขาก่อนว่า “ภูตผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลาย บัดนี้เราจะสวดมนต์ใครชอบฟังเอาบุญ เอากุศลก็ให้ตั้งใจฟัง หากใครไม่ชอบหรือฟังแล้วทรมานก็ให้หลีกหนีไปที่อื่นจนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จแล้วจึงกลับมาเถิด” ดังนี้ ขอให้รู้ว่ายังมีผู้ที่เขาเดือดร้อนอยู่
การนิมนต์พระมาทำพิธีขับไล่ผีในบ้าน ไม่ถูกต้องด้วยประการทั้งปวงและควรงดให้เด็ดขาดเพราะวิญญาณนั้นเขาอยู่อาศัยที่นั้นมาก่อนเราอย่างสงบสุข หรือบางทีก็เป็นญาติที่เราเคารพรักมาก่อน ตายแล้วมีบุญน้อยก็เป็นภูตผีอาศัยอยู่ในบ้านนั้น บางตนมีความเดือดร้อน พยายามส่งกระแสความเดือดร้อนให้เรารู้สึกเพื่อจะได้ทำบุญส่งให้เขา แต่คนไม่เข้าใจคิดว่าเขาเบียดเบียนหลอกหลอน จึงนิมนต์พระมาสวดขับไล่ เมื่อเราไปทำพิธีขับไล่ เขายิ่งเดือดร้อนใหญ่จึงรวมตัวกลั่นแกล้งผู้คนในบ้านให้เดือดร้อนวุ่นวายกันมากขึ้น มีแต่เรื่องทะเลาะขัดแย้งกันเนืองๆ
สังเกตดู บ้านไหนที่มีคนถือวิชาอาคมสวดมนต์ไล่ผีบ่อยๆ คนในบ้านนั้นจะหาความรักความสามัคคีกันไม่ได้เลย พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ทะเลาะขัดแย้งกัน “ต่อไปเมื่อมีเหตุเดือดร้อนกัน ควรทำบุญอุทิศให้เขา เมื่อเขาอยู่สุขสบายก็เลิกรบกวนเรา” แล้วจะกลับเป็นเทวดาชั้นดีที่คอยปกปักรักษาเราต่อไป
หลีกเลี่ยงการติดผ้ายันต์กันภูตผีในบ้าน หรือการพกพาเครื่องรางของขลังที่เบียดเบียนวิญญาณชั้นต่ำ เพราะสิ่งเหล่านี้กระทบกระเทือนถึงวิญญาณให้ได้รับความเดือดร้อนและเครียดแค้นอันจะส่งผลให้เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญเราไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่เราไม่รู้ตัว หากใครมีผ้ายันต์ เหรียญหรือเครื่องรางปลุกเสกต่างๆ ก็ให้นำมาคลายมนต์ออก ด้วยการอธิฐานว่า “ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้อำนาจเวทมนต์หรืออำนาจต่างๆ ที่อยู่กับสิ่งของเหล่านี้จงหมดฤทธิ์ หมดอำนาจไปด้วยเถิด” บ้านใครที่มีผ้ายันต์หรือสายสิญญ์ก็ให้แกะออกแล้วนำมาอธิฐานคลายมนต์ออกแล้วไปเผาไฟทิ้งเสีย จะได้ไม่เป็นอันตรายกับผู้อื่นอีกเพราะบ้านเรือนเคหะสถานไม่ใช่เป็นที่อยู่เฉพาะของคนในโลกนี้เพียงอย่างเดียวแต่เป็นที่อยู่ของผู้ที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่เรามองไม่เห็น จึงไม่ควรเห็นแก่ตัวว่าเป็นที่อยู่ของเราแต่เพียงผู้เดียว ควรอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข พวกวิญญาณต้องอาศัยบุญกุศลถึงอยู่ได้ ถ้าได้รับบุญจากมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินเดียวกันเขาย่อมพึงพอใจ และจะรักษามนุษย์ให้มีความสุขความเจริญ แม้พระพุทธเจ้าพุทธโคดม ก็ตรัสสอนไว้ใน “เทวตาทิสสทักขิณานุโมทนา” ว่า
ยัสมิง ปะเทเส กัปเปติ วาสัง ปัณฑิตะชาติโย
สีลวันเตตถะ โภเชตะวา สัญญะเต พรหมะจาริโน
ยา ตัตถะ เทวตา อาสุง ตาสัง ทักขิณะมาทิเส
ตา ปูชิตา ปูชะยันติ มานิตา มานะยันติ นัง
ตะโต นัง อนุกัมปันติ มาตา ปุตตังวะ โอระสัง
เทวะตานุกัมปิโต โปโส สะทา ภัทรานิ ปัสสติ
แปลว่า ผู้ฉลาดชาติบัณฑิต เมื่ออาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งใด ควรเชื้อเชิญผู้ทรงศีลเข้าไปเลี้ยงดูในสถานที่แห่งนั้น แล้วอุทิศบุญให้แก่เทวดาผู้อาศัย ณ สถานที่แห่งนั้น เทวดาเมื่อได้รับการบูชาแล้วย่อมบูชาตอบ คือ ทำความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อุทิศบุญให้แล้วนั้นเหมือนบิดามารดา ผู้รักบุตรย่อมอนุเคราะห์บุตร ผู้ใดได้รับการช่วยเหลือจากเทวดาแล้ว ย่อมประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองอยู่เป็นนิจ

การใช้บุญสร้างความสำเร็จในปัจจุบัน (1)

การใช้บุญสร้างความสำเร็จในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าโคดมทรงแสดงการเกิดบุญไว้ 3 ประการย่อๆ คือ
1. บุญเกิดจากการให้ทาน
2. บุญเกิดจากการรักษาศีล
3. บุญเกิดจากการภาวนาอบรมจิตใจ
โดยสรุปแล้ว การสร้างความดีทุกประการล้วนเป็นแหล่งของการเกิดผลบุญกุศลทั้งสิ้น แล้วก่อให้เกิดอานิสงส์ที่จะสร้างความสำเร็จในชีวิตได้ทั้งสิ้น
เมือกำลังให้ของแก่ใคร ไม่ว่าจะถวายของแก่พระสงฆ์ ให้ของแก่ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติมิตร แม้เอาข้าวให้หมากิน เอาอาหารโยนให้ปลากิน เอาเศษอาหารโปรยให้มดกิน ย่อมเกิดกระแสบุญขึ้นเป็นกระแสเรืองรอง แผ่ออกจากตัวผู้กำลังให้ เพียงไม่กี่วินาทีแสงนี้จะพุ่งหายขึ้นไปเบื้องบน แล้วสะสมเป็นกองบุญของผู้ให้อยู่บนเทวโลก ดังนั้นขณะให้ของแก่ใครจึง ควรอธิษฐานจิต คิดทันทีว่า
“บุญนี้ให้เทวดาผู้รักษาตัวข้า” หรือ “บุญนี้ให้นายเวรข้าที่เดินทางมาถึง” หรือ
“บุญนี้ให้ ภูต ผี ปีศาจ เปรต ครุฑ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ มาร พรหม เหล่าเทพยดาทั้งสิ้นที่อาศัยอยู่ในสถานที่เรือกสวน ไร นา หรือเคหะสถานบ้านเรือนของข้า” หรือ
“บุญนี้ให้เทวดาผู้รักษาบุตรของข้า ให้เทวดาผู้รักษาบิดามารดาข้า” เป็นต้น
ขึ้นอยู่กับว่าต้องการแก้ไขในจุดไหน เช่น
บุตรของเราเกเรเหลือเกิน ชอบสร้างแต่ความเดือดร้อน สั่งสอนไม่ฟัง แบบนี้ต้องให้เทวดาผู้รักษาตัวเขาเป็นผู้ขนาบตักเตือน วิธีที่เทวดาเตือนนั้นท่านจะสั่งการไปที่ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของเขา ถ้าเทวดาประจำตัวเขา เป็นมิจฉาทิฏฐิเมื่อได้รับบุญบ่อยๆ เทวดารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเองมีชีวิตที่สุขสบายขึ้น เขาจะทราบได้เองว่าสิ่งที่เขาได้รับนั้น มาจากไหน เมื่อเราอุทิศบุญให้แล้วก็ให้อธิษฐานต่ออีกว่า “เมื่อเทวดาได้รับบุญแล้ว ขอให้มีความสุขมีกิน มีใช้ มีเสื้อผ้าที่อยู่อาศัย และขอให้อบรมตักเตือนลูกของข้าให้เป็นคนดีด้วย” ดังนี้ ไม่นานหรอกจะเกิดกรณีพิสดารขึ้นกับบุตรเกเรคนนั้นจนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคนดีแน่นอน
สามีหรือภรรยา คู่ครองของตนเองเป็นที่น่าเอือมระอาเหลือเกินอยากให้คู่ครองดี รักเรา ละเลิกความประพฤติชั่วเหลวไหล ก็ให้ทำแบบเดียวกันกับที่ให้บุญแก่เทวดาที่รักษาบุตร
กิจการค้าของท่านล้มเหลวหรือซบเซา เมื่อท่านทำบุญทุกครั้งควรอุทิศให้เทวดาประจำตัวของท่านและเทวดาที่ดูแลกิจการการค้าด้วยพร้อมกันไป แล้วอธิษฐานว่า “เทวดารับบุญของข้าแล้วโปรดช่วยเหลือกิจการค้าธุรกิจของเราให้ประสบความสำเร็จด้วยเถิด ถ้าร่ำรวยขึ้นจะทำบุญให้ท่านยิ่งๆ ขึ้นไปอีก” จะใช้คำเรียกตนเองว่าข้า ว่าเรา ก็ได้ทั้งนั้น
ร้านค้าขาย จะเป็นร้านอะไรก็แล้วแต่ให้ทำบุญให้ผู้ที่สถิตอยู่กับสินค้าที่เรานำมาขายนั้นด้วยและให้ทำบุญอุทิศให้แก่เทวดาที่รักษาร้านค้านั้นด้วย แล้วบอกว่า “เทวดาเมื่อได้รับบุญแล้วโปรดเรียกลูกค้ามาอุดหนุนให้มากๆ ด้วย” ดังนี้
การอุทิศบุญ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องกรวดน้ำ ให้ใช้การคิด ต้องรีบคิดทันที อย่าชักช้าเพราะแสงบุญที่เกิดขึ้นจะดำรงอยู่ไม่กี่วินาทีแล้วก็จะหายไปอยู่สวรรค์ ถ้าฝึกบ่อยๆ เราจะชำนาญในการคิดเพราะมีกระแสแรงกว่าพูดออกจากปาก เวลาหย่อนก้อนข้าวลงในบาตรให้คิดส่งบุญทันที และคิดให้ชัดเจนอย่าลางเลือน ให้ของแก่ใครเมื่อของหลุดออกจากมือเราก็ให้คิดทันที อย่าช้า
การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ที่เกิดกับตัวเราสืบเนื่องจากนายเวรผู้เคียดแค้น ชิงชัง กระทำทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าโคดม ทรงตรัสว่า “ผู้ฆ่าสัตว์ย่อมอายุสั้น ผู้เบียดเบียนสัตว์ย่อมสุขภาพไม่ดี”
ดังนั้นการรักษาโรคต้องส่งบุญไปให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่ายนั้นๆ และให้เทวดาผู้รักษาตัวเราในขณะเดียวกันแล้วอธิษฐานว่า “หมอใด ยาใด ที่สามารถรักษาอาการนี้ให้หายขาดได้ ขอให้เทวดาจงนำหมอนั้น ยานั้น มารักษาข้า ถ้าข้าหาย ข้าจะทำบุญให้แก่ท่าน ยิ่งๆ ขึ้นไป”

การทำบูญเลี้ยงพระ

การทำบุญเลี้ยงพระ
1. การนิมนต์พระ เจ้าภาพจะต้องแจ้ง วัน เดือน ปี เวลา และพิธีที่จะกระทำให้พระทราบล่วงหน้า เพราะบทสวดมนต์จะมีเพิ่มเติมในโอกาสที่ทำบุญซึ่งไม่เหมือนกัน
ส่วนจำนวนพระนั้นมีจำนวนแน่นอนเฉพาะสวดพระอภิธรรม คือ 4 รูป
ถ้าเป็นงานมงคล มักนิมนต์ 5 รูป 7 รูป 9 รูปและ 10 รูปหรือมากกว่านั้นตามกำลังศรัทธาของเจ้าภาพ
ถ้าเป็นงานมงคลสมรสนิยมนิมนต์พระคู่คือ 6 รูป 8 รูป 10 รูป หรือจะนิมนต์ 5 รูป 7 รูป 9 รูป โดยรวมพระพุทธรูปเข้าอีก 1 องค์เพื่อให้เป็นจำนวนคู่ก็ได้
2. สถานที่ การจัดอาสนะสงฆ์นั้นต้องจัดให้สูงกว่าคฤหัสถ์และอยู่เบื้องซ้ายของพระพุทธรูป ถ้าสถานทีไม่อำนวยหรือจำเป็นจะต้องจัดให้พระสงฆ์นั่งทางขวาของพระพุทธรูปก็ควรจัดพระพุทธรูปให้หันพระพักตร์มาทางพระสงฆ์โดยไม่ต้องเข้าแถวกับพระสงฆ์
เครื่องสักการะ หมายถึงโต๊ะหมู่บูชา ประกอบด้วย พระพุทธรูป 1 องค์ แจกันดอกไม้ 1 คู่ เชิงเทียน 1 คู่ กระถางธูป 1 ที่ เป็นอย่างน้อย ( หมู่ 5 ) ถ้าเป็นหมู่ 7และหมู่ 9 ก็ให้จัดดอกไม้เพิ่มตามจำนวนแจกันเทียนตามจำนวนเชิงเทียนและธูป 3 ดอก
3. การจัดภาชนะเครื่องใช้สำหรับพระให้ตั้งทางขวามือของพระถ้าของมีน้อยจะจัดเพียง 2 องค์ต่อ 1 ที่ก็ได้
4. ภาชนะสำหรับใส่น้ำมนต์ จะใช้บาตรหรือหม้อน้ำมนต์ก็ได้ใส่น้ำสะอาดประมาณครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 3 ใน 4 ส่วนจะใส่ใบเงิน ใบทอง ใบนากก็ได้สุดแต่คตินิยม
5 .เครื่องประกอบน้ำพระพุทธมนต์ เตรียมเทียนทำน้ำมนต์ไว้ 1 เล่ม ควรใช้เทียนขี้ผึ้งอย่างดี หนัก 1 บาท เตรียมใบเงิน ใบทอง ใส่ลงในขันน้ำมนต์ ส่วนเครื่องประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ควรใช้หญ้าคามัดเป็นกำ ตัดปลายและรากทิ้ง กะให้ยาวประมาณ 1 ศอก เพราะถือว่าหญ้าคาเป็นหญ้ามงคล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อจะตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ทรงประทับนั่งบนมัดหญ้าคาอันเรียกว่า รัตนบัลลัง
6. การโยงด้ายสายสิญจน์ ให้โยงทักษิณาวัฏ (ตามเข็มนาฬิกา) คือเวียนจากซ้ายไปขวาอย่างเลข 1 ไทย โดยเริ่มต้นที่โต๊ะหมู่บูชา วนรอบเคหสถานแล้วนำมาวงรอบฐานพระพุทธรูป 3 รอบแล้ววงรอบภาชนะน้ำมนต์ 3 รอบแบบทักษิณาวัฏเช่นเดียวกันเสร็จแล้วม้วนสายสิญจน์วางไว้บนพานที่บูชาเพื่อให้พระสงฆ์โยงเวลาสวดพระพุทธมนต์
*ถ้าในพิธีศพ ตั้งแต่ถึงแก่กรรมจนกระทั่งเผา ไม่มีการตั้งบาตรน้ำมนต์และวงด้ายสายสิญจน์*
7 .ลำดับพิธี
7.1 ประธานจุดเทียน ธูป บูชาพระรัตนตรัย
7.2 ประธานกราบพระพุทธรูป 3 หน แล้วเข้านั่งประจำที่
7.3 พิธีกรนำกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย
7.4 พิธีกรอาราธนาศีล
7.5 ผู้ร่วมพิธีรับศีล
7.6 พิธีกรอาราธนาพระปริตร
7.7 ฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เมื่อพระสงฆ์สวดถึง อเสวนา จพาลานัง
7.8 ประธานจุดเทียนน้ำมนต์ถวายพระ
7.9 เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบ ถวายข้าวพระพุทธ ถวายภัตตาหาร
7.10 เมื่อพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้วเข้านั่งประจำที่อาสนะ
7.11 ถวายไทยธรรม
7.12 พระสงฆ์อนุโมทนา ขณะพระว่าบท ยะถา ให้เริ่มกรวดน้ำ พอพระว่าบท สัพพี พึงประนมมือรับพร ไปจนจบแล้วกราบ
7.13 กราบพระ ( นมัสการพระรัตนตรัย )
7.14 พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์หรือเจิม ( ตามที่เจ้าภาพกราบเรียน )


การจุดเทียน
1. พิธีกรถือเทียนชนวนด้วยมือขวาหงายฝ่ามือ ใช้นิ้วมือสี่นิ้วรองรับฐานเชิงเทียน ให้หัวแม่มือจับข้างบนกดฐานเชิงเทียนไว้ ไม่ควรจับกึ่งกลางเชิงเทียน อันจะทำให้ผู้เป็นประธานรับไม่สะดวก
2. อย่าจับเทียนชนวนสูงกว่าประธาน
3. จุดเทียนเล่มเบื้องขวาพระพุทธรูปก่อน แล้วจุดเล่มซ้าย และธูปตามลำดับ

สิ่งที่ควรทราบ
1. ภัตตาหารที่ประเคนแล้วห้ามคฤหัสถ์จับต้องเป็นอันขาด ถ้าจะเติมหรือเปลี่ยนใหม่ต้องประเคนใหม่ทุกครั้ง
2. พระจับต้องเงินไม่ได้จึงใช้ใบปวารณาแทนและใช้คำว่า จตุปัจจัย ( ปัจจัย 4 )
3. งานมงคลสมรสใช้คำว่า เจริญพระพุทธมนต์ ส่วนงานศพใช้คำว่า สวดพระพุทธมนต์

คำภาวนา บูชา อาราธนา ถวาย
คำนมัสการพระพุทธเจ้า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
คำบูชาพระรัตนตรัย
อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง ปูเชมิ
  หมายเหตุ,-  ถ้ากล่าวนำ หลายคนใช้ ปูเชมะ

คำนมัสการพระรัตนตรัย(กล่าวนำ)
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตังอะภิวาเทมิ ( กราบ 1 หน )
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ( กราบ 1 หน )
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ( กราบ 1 หน)

คำอาราธนาศีล 5 (กล่าวพร้อมกัน)
มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
   หมายเหตุ -ถ้าศีล 8 เปลี่ยน ปัญจะ เป็น อัฏฐะ

คำอาราธนาพระปริตรพิธีกรกล่าวคนเดียว)
วิปัตติ ปะฏิพา หายะ สัพพะ สัมปัตติ สิทธิยาสัพพะ ทุกขะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติ ปะฏิพา หายะ สัพพะ สัมปัตติ สิทธิยา สัพพะ ภะยะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติ ปะฏิพา หายะ สัพพะ สัมปัตติ สิทธิยา สัพพะ โรคะ วินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง

คำอาราธนาธรรม
พรัหมา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ
สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง
คำถวายข้าวพระพุทธ ( กล่าวนำ )
อิมัง สูปะ พยัญชะนะ สัมปันนัง สาลีนัง โอทะนังอุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ (หลายคนใช้ ปูเชมะ)
คำถวายสังฆทาน (กล่าวนำ )
อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ
อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตังหิตายะ สุขายะ
คำแปล
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ภัตตาหาร
กับทั้งบริวารเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ภัตตาหาร
กับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข
แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนาน เทอญ ฯ
สังฆทาน คือทานที่อุทิศแก่สงฆ์ มิได้เจาะจงแก่บุคคล ที่เข้าใจกันทั่วไป
หมายถึงการจัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์ ไม่เกี่ยวกับการถวายทานวัตถุอย่างอื่น

คำลาข้าวพระพุทธ
เสสัง มังคะลา ยาจามิ

ตัดตอนมาจาก หนังสือมนต์พิธี รวบรวมโดย พระครูสมุห์ เอี่ยม สิริวัณโณ วัดราษฎร์บำรุง อ.เมือง จ.ชลบุรี