วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เกณฑ์ตัดสินความดี



                ปัจจุบัน โลกแห่งข้อมูลข่าวสารได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้มีการเปลี่ยนแปลงค่านิยมวัฒนธรรม และความประพฤติของคนอย่างมาก จนบางครั้ง เรื่องที่เคยถือกันว่าผิด น่ารังเกียจละอายก็กลายเป็นเรื่องปกติไป และเมื่อเป็นเรื่องปกติธรรมดาก็ทำให้ยอมรับกันมากขึ้นจนกลายเป็นสิ่งถูกต้องไปก็มี ยิ่งผนวกเข้ากับกระแสแห่งธุรกิจและการตลาดชนิดที่ขาดศีลธรรม ซึ่งอุดมไปด้วยวิธีการและชั้นเชิงที่มุ่งแต่ผลประโยชน์ตนด้วยแล้ว ผู้ที่อ่อนด้อยก็อาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย อย่างน้อยก็ถูกครอบงำทางปัญญาจนไม่แน่ใจว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรสำควรอะไรไม่สมควร ในกาลามสูตร มีเกณฑ์ตัดสินว่าเรื่องใดดีหรือชั่ว ด้วยการให้ตั้งคำถามต่อเรื่องนั้นๆ ขึ้นว่า
                ๑.อกุสลา เป็นอกุศลหรือไม่ คือบั่นทอนความดี ปิดกั้นสติปัญญาหรือไม่ ทำอย่างนั้นเชื่ออย่างนั้นแล้ว เป็นการพัฒนาชีวิตจิตใจให้สูงขึ้น หรือกดตัวเองให้ต่ำลง
                ๒.สาวัชชา มีโทษหรือไม่ ทั้งโทษทางสุขภาพร่างกาย โทษทางกฎหมาย และโทษทางสังคม
                ๓.วิญญุครหิตา บัณฑิตติเตียนหรือไม่ เพราะสิ่งใดที่ผู้มีความรู้และมีความประพฤติดีตำหนิติเตียนสิ่งนั้นย่อมเป็นเรื่องดีไปไม่ได้แน่
                ๔.ทุกขายะ สังวัตตันติ เมื่อประพฤติบ่อยๆ จะก่อความทุกข์หรือไม่ เพราะความชั่วบางอย่างต่อเมื่อติดพันหมกมุ่นมากเข้าจึงเกิดโทษมหันต์ การจะตัดสินว่าอะไรดีหรือชั่วจึงต้องเล็งผลในอนาคตด้วย
                สิ่งที่มาพร้อมกับความเจริญของโลกย่อมมีทั้งชั่ว ทั้งดี และทั้งชั่วที่แฝงมาในรูปของดี แต่ไม่ว่าจะแฝงมาลึกซึ้งแนบเนียนแค่ไหน เกณฑ์ตัดสินทั้งสี่ข้อนี้ จะเป็นเครื่องวินิจฉัยเหมาะที่จะเป็นคู่มือสำหรับใช้ในชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี หากฉุกคิดและพิจารณาตาม
............................................

สำรวจด้วยปฏิทิน


 สำรวจด้วยปฏิทิน
                การสำรวจพฤติกรรมเพื่อปรับปรุงแก้ไขตนเอง เป็นเรื่องที่ยอมรับกันว่ามีความจำเป็น และการสำรวจตนเองนั้น นอกจากต้องมีความซื่อสัตย์จริงใจเป็นสำคัญแล้ว ยังต้องอาศัยข้อมูลเชิงสถิติเพื่อให้ทราบผลที่ชัดเจนอีกด้วย เครื่องมือที่จะใช้อ้างอิงและเตือนความจำที่หาได้ง่ายและราคาถูกที่สุดก็คือปฏิทินที่ทุกคนมีอยู่แล้วนั่นเอง
                วิธีปฏิบัติก็คือ วันไหนที่ทำความดี ได้สร้างประโยชน์หรือจิตใจเป็นกุศล ก็ใช้ปากกาสีแดงทำเครื่องหมายไว้ หากวันไหนทำผิดทำพลาด ประพฤติเสียหายหรือจิตใจขุ่นมัว ก็ใช้ปากกาสีดำทำเครื่องหมายไว้ เมื่อครบหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ก็เอาข้อมูลมาประมวลให้เป็นผลลัพธ์ที่ได้ โดยอาจจัดเป็นระดับ หรือวัดความก้าวหน้าของชีวิตได้ดังนี้
                                หากชั่วไม่มี ดีปรากฏ ถือว่าชีวิตยกระดับ จัดว่าก้าวหน้า
                                หากชั่วไม่มี ดีไม่ปรากฏ ถือว่าชีวิตคงระดับ จัดว่าหยุดนิ่ง
                                หากชั่วมากมี ดีไม่ปรากฏ ถือว่าชีวิตตกระดับ จัดว่าถอยหลัง
                ผลที่ได้รับจากการประเมินดังกล่าว เป็นสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา ทำให้เกิดความสนใจและมีผลต่อความรู้สึกมากกว่าใช้จินตนาการ และกระตุ้นให้เกิดความคิดทุกครั้งที่เหลือบไปเห็น เข้าหลักของการเตือนตนเองที่นักปราชญ์ทั้งหลายล้วนกล่าวสรรเสริญทั้งสิ้น

............................................

งานสาร้างสุข



                การทำงานเป็นเรื่องที่คู่กับชีวิตมนุษย์ และแม้งานจะมีมากมายหลายประเภท แต่ก็มีลักษณะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถ้าเป็นงานสุจริต จะมีความสุขแฝงอยู่ในงานนั้นเสมอ ความสุขดังกล่าวให้ผลเป็นสองขณะคือ
                ๑.ขณะทำสำเร็จ คือเพียงลงมือทำ หรือทำเสร็จ ความสุขก็เกิดได้ทันที เช่น อาจมีบางครั้งที่เรามีความสุขใจ ภูมิใจ เมื่อได้ลุกขึ้นยืน สละที่นั่งบนรถโดยสารให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงงานที่มีความสำคัญมากกว่านี้ ใช้ความพยายามมากกว่านี้ และเกิดประโยชน์มากกว่านี้
                ๒.ขณะได้ผลตอบแทน งานส่วนใหญ่จะมีสิ่งตอบแทนเป็นรางวัล ในรูปของค่าจ้าง เงินเดือน หรือผลประโยชน์อื่นๆ อย่างน้อยก็ได้รับการชมเชยหรือความนิยมนับถือ เมื่อผลตอบแทนเช่นนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้เจ้าของงานเป็นสุข
                สรุปว่า การทำงานก็คือการลงมือสร้างความสุขให้กับตนเองนั่นเอง แต่ถ้าหวังความสุขเฉพาะขณะที่สอง คือ มุ่งผลตอบแทนอย่างเดียว ก็จะต้องรอจนกว่าจะได้รับผลนั้น เช่นรอจนถึงวันเงินเดือนออกซึ่งมีอยู่เพียงวันเดียว หรือรอจนกว่าจะมีผู้พบเห็นแล้วยกย่องชมเชย ก็ยิ่งเลื่อนลอยหนักเข้าไปอีก ข้อสำคัญถ้าผลตอบแทนไม่เป็นตามที่มุ่งหวัง งานก็จะเป็นแหล่งรวมของความทุกข์ แต่ถ้าทำงานเพื่อมุ่งหวังความสุขขณะที่หนึ่ง คือเมื่อได้ทำงานสำเร็จ ได้สร้างคุณประโยชน์ให้เกิด ก็ภูมิใจในความเป็นคนมีค่าของตนเอง ปลื้มใจเมื่องานนั้นเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็จะมีความสุขใจไปพร้อมกับการทำงานนั้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า งานนั้นทำให้เกิดความสุข
                คนหนึ่ง มีอาชีพกวาดถนน ขนขยะ ซึ่งเป็นงานไร้ชื่อเสียง ค่าตอบแทนต่ำ แต่ก็ยังมีอุตสาหะทำงานเลี้ยงชีพอย่างเป็นสุข อีกคนหนึ่งมีการงานที่มั่นคง มีเกียรติ และค่าตอบแทนสูงกว่า แต่ไม่อาจหาความสุขจากการทำงานได้ สาเหตุสำคัญ ก็เพราะมุ่งเสวยผลของความสุขที่แตกต่างกันนั่นเอง
............................................