“ประหยัด”
หมายถึง
การใช้ของสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ได้ประโยชน์มากที่สุดหรือใช้อย่างสิ้นเปลืองสูญเปล่าน้อยที่สุดโดยไม่จำกัดว่าจะเป็นการใช้เพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่น
ความหมายสั้นๆ ของความประหยัดก็คือ “ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น” ส่วนความตระหนี่
หมายถึงการไม่ยอมเสียในเมื่อถึงเวลาที่ควรจะเสีย เช่น
เมื่อหิวถึงเวลาควรกินก็ไม่ยอมกินเพราะกลัวหมด
เมื่อเจ็บป่วยจำเป็นต้องรักษาพยาบาลก็ไม่ยอมรักษาเพราะกลัวยากจน
ถึงคราวที่ควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นบ้างก็ไม่ทำเพราะกลัวสิ้นเปลือง
อย่างนี้เรียกว่า “ตระหนี่” ความหมายสั้นๆ ก็คือ “แม้ในยามจำเป็นก็ไม่ยอมใช้จ่าย”
มีผู้เข้าใจสับสนว่า
เมื่อเห็นคนประหยัดก็คิดว่าเขาตระหนี่ ส่วนคนที่ตระหนี่ก็มักเข้าใจว่าตนประหยัด
ทั้งสองข้อนี้ มีบางคนเข้าใจว่า เมื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว
ก็จะทำให้ทรัพย์สินเจริญพอกพูนขึ้นได้ดุจเดียวกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นจริงได้ในระดับหนึ่ง
แต่ในทางหลักธรรม ความประหยัดกับความตระหนี่ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติต่างกัน คือ
ความประหยัดส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากคุณธรรม เป็นฝ่ายกุศล
จึงทำให้บุคคลผู้ดำเนินชีวิตด้วยคุณธรรมในลักษณะนี้นั้นมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย
มีวิธีการที่จะใช้ทรัพย์ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เป็นประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเอง
ครอบครัวและสังคม รู้จักบำรุงรักษาทรัพย์อย่างเหมาะสม ไม่ปล่อยปละละเลย
ทำให้ทรัพย์นั้นมีอายุการใช้งานได้นาน ส่วนความตระหนี่มักเกิดจากกิเลสฝ่ายอกุศล
จึงทำให้ผู้ดำเนินชีวิตตามกิเลส หวงแหนทรัพย์สินในทางที่ไม่ถูกต้อง บุคคลตระหนี่จึงมักเป็นอยู่อย่างลำบากโดยไม่จำเป็นและมักขาดคนเห็นใจ
ขาดพวกพ้องบริวาร ดังมีคำที่ว่า “บริวารมาเพราะน้ำใจมี บริวารหนีเพราะน้ำใจลด
บริวารหมดเพราะน้ำใจแห้ง”
เมื่อทราบถึงความแตกต่างนี้แล้ว
เราจึงควรมีอุตสาหะในการประหยัดพร้อมทั้งกำจัดความตระหนี่ กล่าวเฉพาะความประหยัด
ไม่ว่าจะประหยัดในเรื่องใดก็ตามล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นและทรงคุณค่า
ต่อการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น โดยเฉพาะความประหยัดเกี่ยวกับเงินในกระเป๋าตนเอง
ดังมีคำประพันธ์ท่ว่า
“
ง เงินนั้นหายาก ต้องลำบากตราตรำไป
ทำงนแทบขาดใจ กว่าจะได้เงินนั้นมา
ใช้จ่ายอย่างประหยัด รัดเข็มขัดให้แน่นหนา
หนี้สินอย่าสร้างมา ภายภาคหน้าสบายเอย”
..........................................