วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เรื่องธรรมดา


                เรื่องธรรมดา หมายถึง เรื่องที่ไม่แปลกประหลาด ไม่น่าอัศจรรย์ คนทั่วไปมักให้ความสำคัญน้อยกว่าเรื่องผิดธรรมดาที่เป็นปรากฏการณ์พิเศษ บางครั้งอาจถึงขั้นมองข้าม ไม่อยากสนใจให้เสียเวลา แต่ในชีวิตของคนเรานี้มีเรื่องธรรมดาอยู่ห้าเรื่องที่จะมองข้ามไม่ได้เป็นอันขาด

                ๑.ชราธัมมตา ต้องแก่เป็นธรรมดา 

                ๒.พยาธิธัมมตา ต้องเจ็บไข้เป็นธรรมดา

                ๓.มรณธัมมตา ต้องตายเป็นธรรมดา

                ๔.ปิจวินาภาวตา ต้องพลัดพรากจากของรักเป็นธรรมดา

                ๕.กัมมัสสกตา ต้องรับผลกรรมเป็นธรรมดา

                ทั้งห้าหัวข้อนี้ ในทางธรรมสอนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเอาใจใส่ ต้องพิจารณาเนืองๆ ให้เข้าใจและยอมรับอย่างถ่องแท้ เพราะจะทำให้เข้าใจชีวิตได้ถูกต้องและมีความพร้อมทั้งสองระดับ คือ พร้อมที่จะรับอันหมายถึงเมื่อความแก่ ความเจ็บ มาถึงก็จะมีสติ ไม่ตื่นตระหนก หรือเป็นทุกข์เกินกว่าเหตุ เป็นต้น และพร้อมที่จะเริ่ม อันหมายถึงเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่หนีไม่พ้น จะได้เริ่มตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทแล้วเร่งสร้างคุณค่าและสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง

                ลองคิดล่วงหน้าดูก่อนก็ได้ว่า ถ้าต้องประสบกับปรากฏการณ์ห้าข้อนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเดือดร้อนวุ่นวายจนไม่สงบทุเลา หรือท้อแท้ซบเซาจนสิ้นสุข ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ยังปฏิบัติผิด แม้ต่อเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องธรรมดาๆ

............................................


ความทุกข์กินเปล่า


                 มีผู้คนจำนวนมากที่มักวิตกกังวล หมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ จนเกิดความทุกข์ล่วงหน้าทั้งที่เหตุการณ์ยังไม่เกิด เช่น นักเรียนบางคนกังวลว่าจะสอบไม่ได้ จะเรียนไม่จบ กลัวไปสารพัด จะกินจะนอน จะทำกิจวัตรใดๆ ก็ครุ่นคิดแต่เรื่องที่จะสอบไม่ได้ทั้งที่ยังไม่ได้สอบ ข้าราชการบางคนเมื่อได้รับมอบหมายงาน ก็เริ่มวิตกกังวล กลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวผู้บังคับบัญชาจะกวดขันเพ่งเล็ง หรือกลัวว่าจะเกิดอุปสรรคอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ตลอด จนขาดความมั่นใจและรู้สึกเครียด บางคนก็วิตกกังวลกับเรื่องของชีวิต ห่วงว่าถ้าต้องเจ็บป่วยไปเสียคนหนึ่ง ครอบครัวจะอยู่ได้อย่างไร แล้วก็หวดหวั่นกลัดกลุ่มไปกับความคิดที่คิดขึ้นมาเองนั้น

                ทั้งที่เป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาเอง จะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระซะทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้าสอบตกขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่ดีเป็นแน่ ถ้าทำงานแล้วเกิดความเสียหายผิดพลาดก็ต้องทุกข์ใจเป็นธรรมดา หรือถ้าเจ็บป่วยทุพพลภาพลงก็จะเป็นมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ จริงๆ ที่คิดทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องที่มีสาระนั่นแหละ เพียงแต่จับสาระไม่ถูก เพราะสาระของเรื่องที่เหล่านั้นก็คือต้องเอาความกังวลนั่นแหละเป็นเครื่องตัดความกังวล เมื่อกังวลว่าจะสอบไม่ผ่านก็ต้องศึกษาค้นคว้า อย่างเต็มที่ จดจ่อทุ่มเทให้กับการอ่านจนไม่มีเวลาไปกังวลกับเรื่องที่จะสอบไม่ผ่านอีก

                มนุษย์เรามีข้อเสียโดยส่วนใหญ่อย่างหนึ่งคือ ลำพังความคิดอย่างเดียวก็ทำให้เกิดความทุกข์ได้เป็นความทุกข์กินเปล่า ที่แทบจะหาที่มาที่ไปไม่ได้เลย แต่สามารถกัดกร่อนชีวิตได้อย่างเหลือเชื่อ แต่หากมองในแง่ดีคือ ลำพังความคิดนี้เหมือนกันถ้าคิดดีคิดถูก ก็จะทำให้นำมาซึ่งความสุขได้อย่างไม่ยาก ฉะนั้นจึงควรศึกษาที่จิตใจนี้เถิด จึงจะสามารถทำให้ไม่ต้องพบกับคำว่า “ความทุกข์กินเปล่า” อีกต่อไป

............................................


ภาวะโลกร้อน


                ปัจจุบัน ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาในแต่ฤดูกาลที่แปลกออกไปจากที่เคยจะเป็น เชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเกิดจากการทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเพื่อการอุตสาหกรรม ที่ทำให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศของโลกจำนวนมากจนโลกมีสภาพคล้ายถูกครอบไว้ด้วยเรือนกระจก ทำให้รังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังโลกไม่สามารถระบายออกไปจากชั้นบรรยากาศได้จึงเกิดภาวะโลกร้อน

                สำหรับในตัวมนุษย์เอง ในทางธรรมะได้กล่าวไว้ว่าสิ่งที่จะทำให้มนุษย์เกิดความเร่าร้อนมีสามอย่างคือ

                ๑.ราคัคคิ ไฟราคะ ได้แก่ ความติดใจ อยากได้ ทำให้กระวนกระวาย ยังไม่ได้ก็เร่าร้อนดิ้นรน ครั้นได้มาก็กังวลหวงแหน เกรงจะสูญเสียพลัดพราก คือไม่ว่าจะผิดหวังหรือสมหวังก็หนีทุกข์ไม่พ้น ยิ่งอยากแบบไม่มีสิ้นสุด ยิ่งไม่มีทางสงบเย็นได้

                ๒.โทสัคคิ ไฟโทสะ ได้แก่ความขัดเคือง ไม่พอใจ ทำให้ร้อนรุ่มอยู่ในอก แม้จะคิดแก้ไขก็มักใช้วิธีจัดการกับผู้อื่น ไม่จัดการตัวเองทั้งที่เป็นเจ้าของความไม่พอใจ กลายเป็นไฟไหม้บ้านหลังหนึ่งแต่พยายามไปดับที่บ้านอีกหลังหนึ่ง

                ๓.โมหัคคิ ไฟโมหะ ได้แก่ ไม่เข้าใจความจริง เห็นผิดว่าถูก เห็นถูกว่าผิด เป็นตัวการทำให้การตัดสินใจ การพูด การทำผิดไปหมด เมื่อมีการปฏิบัติผิดไปจากเหตุผลและความถูกต้องของเรื่องต่างๆ ย่อมประสบแต่ความทุกข์ร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย

                จะว่าไฟทั้งสามนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนก็คงไม่ผิดนัก เพราะถ้ามนุษย์ไม่ทำลาย โลกก็ยังมีความสมดุล ไม่วิปริต และมนุษย์จะทำลายไปทำไม่ถ้าไม่ใช่เพราะโลภไม่มีสิ้นสุด โกรธไม่รู้จักยับยั้ง และหลงชนิดเห็นผิดเป็นถูก ดังนั้น ถ้ายังดับไม่ก็ต้องควบคุมไฟทั้งสามให้ดีที่สุด โลกจึงจะเย็นลงได้

............................................