วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

ประกันชีวิต


ประกันชีวิต
                เป็นที่ทราบกันว่า การประกันชีวิต ก็คือการส่งเบี้ยประกันให้บริษัทที่รับประกัน แล้วได้รับความคุ้มครองตามวงเงินและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ เมื่อเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจะทำให้ได้รับผลประโยชน์ในรูปของค่าใช้จ่าย เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้ตนเองและผู้อยู่ข้างหลังได้วิธีหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการประกันชีวิตด้วยวัตถุ เป็นวิธีการทางโลก
                แต่ยังมีการประกันชีวิตที่ดีกว่านั้น ก็คือการประกันชีวิตด้วยคุณธรรม เป็นวิธีการทางธรรม ทำให้ชีวิตมีความมั่นคง เป็นสุข และก้าวหน้าอย่างแท้จริงโดยการสร้างหลักประกัน ๓ อย่างขึ้นในตัวเอง คือ
                ๑.ศีล ฝึกหัดและควบคุมคำพูด การกระทำ ให้อยู่ในกฎหมายและศีลธรรม เป็นหลักประกันว่าจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและผู้อื่น
                ๒.สมาธิ ฝึกหัดและควบคุมจิตใจให้มั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปตามเหตุการณ์และอารมณ์ อย่างไร้จุดหมายเป็นหลักประกันว่า จะมีกำลังใจที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ฝ่ายต่ำมีพลังที่จะนำชีวิตก้าวไปสู่จุดหมายอย่างไม่ย่อท้อ
                ๓.ปัญญา พัฒนาความคิดจนเข้าใจในเหตุและผล ไม่ติดอยู่แค่เรื่องที่เห็นประเด็นที่เกิด แต่เข้าไปสัมผัสจนถึงความเป็นจริงที่มีอยู่ในสิ่งนั้นๆ เป็นหลักประกันว่า การแก้ปัญหาและการสร้างสรรค์ทั้งหลายจะถูกตรงต่อเนื้อแท้ ไม่ผิดพลาดและวางท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายในโลกได้อย่างชาญฉลาด ไม่เกิดทุกข์
                ถ้าจะประกันชีวิตตามกรมธรรม์ ก็เป็นสิ่งดี เพราะทำให้ได้รับประโยชน์เมื่อเกิดอันตรายหรือเสียชีวิตแต่ต้องคิดด้วยว่าขณะที่ยังไม่เจ็บ ไม่ตายคือตอนที่ยังดีๆ อยู่นี่แหละ หากเราได้ทำประกันสำหรับชีวิตจริงๆ ให้กับตัวเองแล้ว รับประกันว่าชีวิตของเราจะมั่นคง เป็นสุขอย่างแน่นอน และเมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็จะได้รับความคุ้มครองตลอดไปหากยังไม่ได้ทำ ขอได้โปรดพิจารณาหลักประกันทั้ง ๓ ดังกล่าวข้างต้น
............................................

ให้คือได้


ให้คือได้
                ถ้าเรามีเมตตาต่อใครสักคนหนึ่ง ก็มักจะพูดกันว่าให้ความเมตตา อีกฝ่ายหนึ่งคือผู้ได้รับความเมตตา คำพูดนี้สร้างมโนภาพให้เห็นเป็นคนสองคน คือคนหนึ่งให้ อีกคนหนึ่งได้ ทำให้เข้าใจต่อไปว่าเมื่อจะเมตตาก็ต้องเป็นฝ่ายให้ ต้องพักเรื่องคิดที่จะได้ไว้ก่อน ทั้งที่ความจริง ผู้มีเมตตาคือผู้ได้ในทันที ดั่งเช่น
                ๑.ได้โลกทัศน์ที่ดี ผู้มีเมตตาจะเห็นผู้อื่นเป็นมิตร อย่างน้อยก็เห็นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พร้อมจะเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น เป็นคนมองโลกในแง่ดี คนที่มองโลกในแง่ดี ถึงเกิดเรื่องร้ายก็แก้ไขให้กลับดีได้ง่าย แต่คนที่มองโลกในแง่ร้าย ถึงมีเรื่องดีก็อาจกลายเป็นร้ายไปจนได้
                ๒.ได้สุขภาพจิต ข้อนี้สำคัญมาก เพราะการสูญเสียสุขภาพจิต เช่น เครียด วิตกกังวล หงุดหงิด ฉุนเฉียว เป็นต้น เป็นการสูญเสียที่ประเมินค่ามิได้ และนำมาซึ่งความสูญเสียในลักษณะอื่นๆ อีกมาก
                ๓.ได้คุณสมบัติของผู้นำ เพราะเป็นผู้มีน้ำใจ พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เอาเปรียบใคร แม้ต้องลงโทษผู้อื่น ก็ไม่ลงโทษเพราะเกลียดชัง แต่มุ่งยับยั้งห้ามปรามจากความชั่ว คือทำเพื่อหวังประโยชน์แก่ผู้ถูกลงโทษนั้นเอง ดุจพ่อแม่เฆี่ยนตีลูกก็เพราะความรัก หาใช่เพราะเกลียดชังไม่
                เมตตาเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ปรารถนาความเป็นดีอยู่ดีของผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมา ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ไม่คิดแม้แต่จะได้ความรู้สึกที่ดีตอบแทนมาหรือไม่ ผู้มีเมตตาจึงไม่มีทางผิดหวังกลับมีแต่ได้ เพราะทันทีที่ความเมตตาเกิดขึ้นในใจ ก็จะได้สุขภาพจิต คุณภาพจิต และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน เป็นการได้ก่อนที่จะลงมือให้เสียอีก
............................................

ขี้เหร่ก็รัก


 ขี้เหร่ก็รัก
                ความรักย่อมเป็นที่มาของความเห็นใจ ความช่วยเหลือ เสียสละ ให้อภัย และอื่นๆ อีกสารพัด ที่จะนิยามกันมา การเป็นที่รักของผู้อื่นจึงเป็นที่ปรารถนาของทุกคน ทำให้มีการเสริมแต่งร่างกาย ผิวพรรณ และแสวงหาเครื่องประดับเพื่อเสริมความงามกันอย่างเอาจริงเอาจัง จนกลายเป็นธุรกิจระดับโลก แต่วิธีทำให้คนอื่นรักที่ได้ผลที่สุดก็คือทำตัวเองนั่นแหละให้น่ารัก ซึ่งสามารถลงมือปฏิบัติได้เอง ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
                ๑.ไหว้ผู้อื่น เพราะการไหว้หรือรับไหว้คือการเผยให้เห็นความรู้สึกที่ดีที่มีให้ผู้อื่น เป็นการสร้างเสน่ห์ตั้งแต่แรกพบ
                ๒.ขอโทษและขอบคุณ คำว่าขอโทษ ก็คือการยอมรับว่าตนเป็นฝ่ายผิด คำว่าขอบคุณก็คือการมองเห็นน้ำใจของเขา ทั้งสองคำนี้ไพเราะสำหรับผู้ฟัง เป็นวิธีหยิบยื่นความพึงพอใจให้ผู้อื่นที่ง่ายที่สุด
                ๓.ไม่เก่งคนเดียว รู้จักยกย่องความสามารถของผู้อื่น และรู้จักถ่อมตัว ในโอกาสที่เหมาะสม
                ๔.มีอารมณ์ขัน เพราะอารมณ์ขันที่ถูกกาลเทศะ จะช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย ความตึงเครียดของผู้อื่น อย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้มองโลกในแง่ดีขึ้น มีอารมณ์แจ่มใสขึ้น ไม่แจกจ่ายความเครียดให้คนรอบข้าง
                ๕.เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ เพราะผู้ให้ย่อมเป็นที่รักเสมอ สำหรับการให้โดยจริงใจและบริสุทธิ์ไม่หวังผล
                ในแง่ที่จะทำให้คนอื่นรัก ถ้าจะพูดว่าคนสวยที่สุด กับคนขี้เหร่ที่สุด มีต้นทุนเท่ากัน ก็คงไม่ผิดเพราะสุดท้ายจะต้องตัดสินกันที่ความน่ารัก และความน่ารักที่แท้จริงนั้นก็เป็นคุณสมบัติ ไม่ใช่รูปสมบัติ คุณสมบัตินั้นเป็นเสน่ห์ตัวจริง ศักดิ์สิทธิ์ชนิดไม่มีอะไรทำลายล้างได้ มีอยู่ในคนขี้เหร่ที่สุด ก็ทำให้เป็นคนที่น่ารักที่สุดได้ คนทั้งหลายจะนิยมชมชอบเขาโดยไม่นึกรังเกียจในความขี้เหร่เลย
............................................

แค่นิดหน่อย


แค่นิดหน่อย
                คงเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้” กันมาแล้ว คำพูดเช่นนี้เท็จจริงเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มีข้อที่น่าคิดว่า การทำตามใจตัวเองโดยยอมละทิ้งกฎเกณฑ์ทั้งๆ ที่เป็นของดีนั้น สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากความคิดที่ว่า “ก็แค่นิดหน่อย” คือในส่วนของผิดถูกนั้นรู้อยู่เต็มอก แต่เรื่องนี้มันแค่นิดหน่อยเท่านั้น คงไม่เป็นอะไร
                ความคิดนี้เป็นเหตุให้ตัวเองทำผิดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อนเมื่อทำได้ครั้งสองครั้งก็จะรู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายอะไร จนเคยชิน จนเห็นเป็นเรื่องถูกต้องและเป็นเรื่องปกติไปในที่สุด ทำให้เกิดผลเสียแก้ไขได้ยากตามมา ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายในคือ ปัญหาการจราจร ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการเอาเปรียบกันเพียงเล็กน้อย ทำให้ติดขัดล่าช้า หรือเพราะไม่ระมัดระวังด้วยเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ จนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้การจราจรเป็นอัมพาตนาน นับเป็นชั่วโมง เป็นต้น
                ความจริง ความคิดว่าก็แค่นิดหน่อยนี้ เป็นประโยชน์มากถ้าเอามาใช้ในเรื่องที่ถูกต้อง ถูกที่ ถูกเวลา เช่น การเสียสละ ก็คิดว่าไม่เป็นไร แค่นิดหน่อยเท่านั้น ถึงคราวต้องอดทนหรือเหนื่อยยาก ก็คิดว่าเรื่องแค่นี้นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เหลือวิสัยอะไรเลย แล้วพอใจในการทำดี กลายเป็นความเคยชิน ทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่างไม่ต้องคอยขวนขวายหาเลยแม้แต่น้อย
                เรื่องใหญ่ย่อมมาจากเรื่องเล็ก เหมือนไฟที่เผาผลาญอาคารหรือชุมจนเป็นเถ้าถ่าน ย่อมเกิดจากจุดไฟจุดเล็กๆ เท่านั้น ความคิดว่าก็แค่นิดหน่อย ก็เป็นเรื่องเล็กที่นำไปสู่เรื่องใหญ่ๆ ได้ คือถ้าใช้ในทางที่ถูกก็จะทำให้เกิดกำลังใจ ทำความดีจนแผ่ไพศาล ถ้าใช้ผิดก็จะเป็นเหตุให้ทำผิดไม่รู้จบ กลายเป็นนิดหน่อยอย่างถาวร เกิดความเสียหายยาวนาน เหมือนเปลวไฟเล็กๆ ที่ทำลายล้างได้กว้างไกลจนอาจคิดไม่ถึง
............................................

คมเฉือนคม



                จากเรื่องเล่าชาดก หมีตัวหนึ่ง อาศัยร่มเงาต้นตะคร้อใหญ่ต้นหนึ่งเป็นที่พักผ่อน วันหนึ่งขณะที่มันหลับเพลินอยู่นั่นเอง มีลมพายุพัดกระโชกมาวูบหนึ่ง ทำให้กิ่งแห้งของไม้ตะคร้อหักลงมาทิ่มคอของมันอย่างแรง มันสะดุ้งตื่นวิ่งหนีด้วยความตกใจ พอได้สติย้อมกลับมาดูก็ไม่พบว่ามีอันตรายอะไร เห็นแต่กิ่งไม้ที่หล่นมาอยู่กับพื้น มันแน่ใจว่าต้องเป็นฝีมือของเทวดาที่อาศัยอยู่ที่ต้นตะคร้อนั้น จึงผูกใจเจ็บว่าสัตว์อื่นมาอาศัยต้นตะคร้อนี้มากมายเหตุใดเทวดาตนนี้จึงเกลียดชังมุ่งร้ายต่อเราผู้เดียว แบบนี้ต้องได้เห็นดีกันแน่ จึงได้อาศัยวนเวียนอยู่บริเวณนั้นด้วยแรงอาฆาต
                ขณะนั้น มีพวกช่างไม้แบกเลื่อยและขวานมาเพื่อตัดไม้เอาไปทำกงรถ พอรู้ความประสงค์มันจึงพูดขึ้นว่า ข้าเป็นสัตว์ป่า รู้จักไม้ทุกชนิด ไม้อะไรจะวิเศษเท่าไม้ตะคร้อเป็นไม่มี ถ้าเอาไปทำกงรถจะทั้งสวยและทนทาน รับรองไม่ผิดหวังแน่ แล้วรีบพาไปยังตะคร้อต้นนั้น เมื่อพวกช่างไม้ลงมือตัด เจ้าหมีตัวนั้นก็ถอยออกมายืนดูด้วยความกระหยิ่ม
                ฝ่ายรุกขเทวดาคิดว่าเราไม่เคยทำอะไรให้หมีตัวนี้เดือดร้อนสักนิด แม้แต่กิ่งไม้ที่หล่นลงไปก็เพราะลมพัดแท้ๆ แต่มันยังใช้เล่ห์เหลี่ยมผลาญเราจนได้ จึงแปลงร่างเป็นมนุษย์ เข้าไปกระซิบพวกช่างไม้ว่าเมื่อท่านทำกงรถเสร็จแล้ว ต้องใช้หนังสัตว์หุ้มอีกทีหนึ่งจึงจะสวยงามและคงทน หนังสัตว์ที่ว่านี้ ไม่มีหนังอะไรวิเศษเท่าหนังหมี ยิ่งเป็นตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ นั่นด้วยแล้วยิ่งเหมาะสมเป็นที่สุด ผลสุดท้าย ตะคร้อก็ถูกโค่น หมีก็โดนฆ่าไปด้วยกัน
                เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า ถ้าเอาคมมีดเฉือนลงบนคมมีอีกเล่มหนึ่ง ย่อมเสียหายทั้งสองเล่ม เพราะวัตถุประสงค์ของคมคือมีไว้เพื่อเฉือนอย่างอื่น ไม่ใช่เฉือนกันเอง ดุจไหวพริบสติปัญญาที่ต่างคนก็ต่างมีจะต้องใช้ความแหลมคมของสติปัญญาเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน ให้เกิดความดีงามด้วยกัน ไม่ใช่เพื่อรองรับความโกรธแค้น ความสะใจ หรือเป็นเครื่องมือห้ำหั่นกันเอง เพราะเป็นการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เหมือเอาคมเฉือนคม มีแต่จะเกิดความเสียหายในทั้งสองคมในที่สุดนั่นเอง
............................................