จากเรื่องเล่าชาดก
หมีตัวหนึ่ง อาศัยร่มเงาต้นตะคร้อใหญ่ต้นหนึ่งเป็นที่พักผ่อน
วันหนึ่งขณะที่มันหลับเพลินอยู่นั่นเอง มีลมพายุพัดกระโชกมาวูบหนึ่ง
ทำให้กิ่งแห้งของไม้ตะคร้อหักลงมาทิ่มคอของมันอย่างแรง
มันสะดุ้งตื่นวิ่งหนีด้วยความตกใจ พอได้สติย้อมกลับมาดูก็ไม่พบว่ามีอันตรายอะไร
เห็นแต่กิ่งไม้ที่หล่นมาอยู่กับพื้น
มันแน่ใจว่าต้องเป็นฝีมือของเทวดาที่อาศัยอยู่ที่ต้นตะคร้อนั้น
จึงผูกใจเจ็บว่าสัตว์อื่นมาอาศัยต้นตะคร้อนี้มากมายเหตุใดเทวดาตนนี้จึงเกลียดชังมุ่งร้ายต่อเราผู้เดียว
แบบนี้ต้องได้เห็นดีกันแน่ จึงได้อาศัยวนเวียนอยู่บริเวณนั้นด้วยแรงอาฆาต
ขณะนั้น
มีพวกช่างไม้แบกเลื่อยและขวานมาเพื่อตัดไม้เอาไปทำกงรถ
พอรู้ความประสงค์มันจึงพูดขึ้นว่า ข้าเป็นสัตว์ป่า รู้จักไม้ทุกชนิด
ไม้อะไรจะวิเศษเท่าไม้ตะคร้อเป็นไม่มี ถ้าเอาไปทำกงรถจะทั้งสวยและทนทาน รับรองไม่ผิดหวังแน่
แล้วรีบพาไปยังตะคร้อต้นนั้น เมื่อพวกช่างไม้ลงมือตัด
เจ้าหมีตัวนั้นก็ถอยออกมายืนดูด้วยความกระหยิ่ม
ฝ่ายรุกขเทวดาคิดว่าเราไม่เคยทำอะไรให้หมีตัวนี้เดือดร้อนสักนิด
แม้แต่กิ่งไม้ที่หล่นลงไปก็เพราะลมพัดแท้ๆ แต่มันยังใช้เล่ห์เหลี่ยมผลาญเราจนได้ จึงแปลงร่างเป็นมนุษย์
เข้าไปกระซิบพวกช่างไม้ว่าเมื่อท่านทำกงรถเสร็จแล้ว ต้องใช้หนังสัตว์หุ้มอีกทีหนึ่งจึงจะสวยงามและคงทน
หนังสัตว์ที่ว่านี้ ไม่มีหนังอะไรวิเศษเท่าหนังหมี ยิ่งเป็นตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ
นั่นด้วยแล้วยิ่งเหมาะสมเป็นที่สุด ผลสุดท้าย ตะคร้อก็ถูกโค่น หมีก็โดนฆ่าไปด้วยกัน
เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า
ถ้าเอาคมมีดเฉือนลงบนคมมีอีกเล่มหนึ่ง ย่อมเสียหายทั้งสองเล่ม
เพราะวัตถุประสงค์ของคมคือมีไว้เพื่อเฉือนอย่างอื่น ไม่ใช่เฉือนกันเอง
ดุจไหวพริบสติปัญญาที่ต่างคนก็ต่างมีจะต้องใช้ความแหลมคมของสติปัญญาเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน
ให้เกิดความดีงามด้วยกัน ไม่ใช่เพื่อรองรับความโกรธแค้น ความสะใจ
หรือเป็นเครื่องมือห้ำหั่นกันเอง
เพราะเป็นการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เหมือเอาคมเฉือนคม
มีแต่จะเกิดความเสียหายในทั้งสองคมในที่สุดนั่นเอง
............................................