คำว่า “เสื่อม” หมายถึง เสียไป
ค่อยหมดไป หรือถอยความขลังลง หากอยู่หน้าคำใด จะทำให้คำนั้นด้อยค่าลง เช่น
เสื่อมเกียรติ เสื่อมความจำ เสื่อมราคา และเสื่อมคุณภาพ เป็นต้น
จึงไม่มีใครปรารถนาจะให้เกิดกับชีวิตหรือสิ่งของเครื่องใช้ของตน
พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงประเภทของความเสื่อมไว้
๕ ประการคือ
๑.ความเสื่อมญาติ
(ญาติพยะสะนัง) หมายถึงบุคคลผู้ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครเหลียวแล
หรือญาติตายหมดแล้ว ไม่มีที่พึ่ง ขาดความอบอุ่นจากหมู่ญาติ รู้สึกว้าเหว่เดียวดาย
หดหู่
๒.ความเสื่อมสมบัติ
(โภคะพยะสะนัง) หมายถึงบุคคลผู้ประสบชะตากรรมจากที่เคยมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง
มีคนให้เกียรตินับหน้าถือตาในสังคม
ต้องกลับกลายมาเป็นคนอยากจนเพราะทรัพย์ถึงคราววิบัติหมดไปจะด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม
มีความทุกข์อย่างมหันต์ ยากที่จะทำใจ
๔.ความเสื่อมเพราะโรค
(โรคะพยะสะนัง) หมายถึงบุคคลผู้ถูกโรคภัยเบียดเบียนรุมเร้า
มีความทุกข์ทรมานจากโรคภัย
จะประกอบกิจการงานอันใดหรือเคลื่อนไหวร่างกายก็ไม่เหมือนปกติ
ทำให้ขาดความสุขความสำราญทางร่างกาย
๔.ความเสื่อมศีล (สีละพยะสะนัง)
หมายถึงบุคคลผู้ไม่นำพาให้ความสำคัญหรือประพฤติตามหลักศีลธรรมโดยเห็นว่าศีลธรรมเป็นเรื่องล้าสมัย
ถ่วงความเจริญก้าวหน้า จึงพากันเหยียบย่ำทำลาย ประพฤตินอกศีลนอกธรรม
ก่อความเดือดร้อนทั้งแก่ตนและสังคม
๕.ความเสื่อมทิฐิ
(ทิฏฐิพยะสะนัง)
หมายถึงบุคคลผู้มีความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรมคือผิดจากความเป็นจริง เช่น
ไม่เชื่อว่า นรก สวรรค์ มีจริง ผลแห่งบาปบุญไม่มี เป็นต้น
ความเสื่อมทั้ง
๕ นี้ ข้อ ๑ ๒ และ ๓ ไม่เป็นเหตุให้ผู้เสื่อมต้องตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ได้
เพราะเป็นความเสื่อมเฉพาะชีวิตนี้เท่านั้น ส่วนข้อ ๔ และ ๕
จัดเป็นความเสื่อมที่แท้จริง
เพราะผู้ที่ไม่มีศีลธรรมหรือมีความเห็นผิดเท่านั้นที่สร้างอบายไว้สำหรับตน
พึงทราบว่าหากมีคนเสื่อมศีลและเสื่อมทิฐิมากเท่าไร
สังคมจะมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายมากเท่านั้น
..................................