เราเคยได้ยินคำว่า ไอคิว (Intelligence Quotient) หมายถึงความฉลาดทางเชาว์ปัญญา การคิด การใช้เหตุผล การคำนวณ
ตลอดจนการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ได้ เดี๋ยวนี้เราได้ยินคำว่า อีคิว
ขึ้นมาอีกคำหนึ่ง (Emotional Quotient) หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์
ความสามารถทางอารมณ์ ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข
อีคิว
เป็นเรื่องที่แพร่หลายมามากกว่า ๑๐ ปี แต่ก่อนเชื่อกันว่า
ไอคิวคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่ดีและมีความสุข
ต่อมานักจิตวิทยาชื่อ แดเนียล โกลด์แมน จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
ได้เขียนหนังสือเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ออกสู่สาธารณชน
ผู้คนให้ความสนใจอย่างมากและมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันถึงความสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์
จนเป็นที่ยอมรับว่า มีความสำคัญต่อความสำเร็จและความสุขในชีวิตของมนุษย์จนสำคัญนำหน้า
ไอคิว
ในปัจจุบันผลการวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) แสดงให้เห็นว่า
ความสำเร็จของผู้นำนั้น มีเพียง ๗ เปอร์เซนต์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความฉลาดหรือไอคิว
ในขณะที่ ๙๓ เปอร์เซนต์ เป็นผลจากคุณสมบัติอื่น เช่น ความไว้วางใจ ความสมดุล
การรับรู้ความเป็นจริง และความซื่อสัตย์
เหล่านี้อันเป็นความหมายของความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิว นั่นเอง
อารมณ์มีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของเรา
มีผลต่อร่างกายและสัมพันธภาพของเรากับบุคคลอื่น
อารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่ควรปฏิเสธหรือเก็บกดไว้ แต่ถ้ารับรู้อย่างเข้าใจและมีเป้าหมาย
ก็จะเป็นผู้ช่วยที่ดีหรือเป็นเครื่องมือป้องกันในทางดี
ความสามารถจัดการกับอารมณ์ในทางบวก จะเป็นองค์ประกอบสำคัญของสุขภาพที่ดี
เป็นพื้นฐานของความสุข ความกระตือรือร้นในชีวิต
และความสามารถในการอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยความรัก ผลของการวิจัยเป็นอันมากยืนยันว่า
อีคิว มีส่วนผลักดันให้เกิดการเพิ่มผลผลิต มีการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ขึ้น คนมีอีคิว
สูงจะเพิ่มโอกาสและความสามารถในการใช้พลังเพื่อให้ได้ผลที่ดีกว่า
อีคิวเริ่มแพร่หลายและเป็นที่นิยมมาเมื่อ
๑๐ กว่าปี ที่ผ่านมา แต่ในทางพระพุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่อีคิวมานับพันปีแล้ว
ซึ่งเรียกว่า จิตภาวนา คือการฝึกอบรมจิตใจให้สะอาด สงบ และสว่าง
จะเกิดผลคือความฉลาดทางอารมณ์
ช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างสร้างสรรค์และมีความสุขได้อย่างแท้จริง
.....................................