พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงระดับความดีของคนไว้เป็นขั้นๆ
โดยกำหนดเอาลักษณะอุปนิสัยผู้นั้นแสดงออกมาเป็นเกณฑ์กำหนด ทั้งนี้เพื่อให้รู้ว่า
ใครมีลักษณะนิสัยอย่างไร เป็นคนประเภทไหน ควรคบหรือไม่ควรคบ ควรเลือกเป็นสามี
ภรรยาหรือไม่ควรอย่างไร ซึ่งมีอยู่ ๔
ระดับด้วยกัน คือ
๑.ผู้มีความขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงาน
ไม่เกียจคร้าน หนักเอาเบาสู้ ไม่ท้อถอย มีความรับผิดชอบในการทำมาหากิน
คนประเภทนี้ชื่อว่ามีความดีในระดับต้น เพราะความขยันอย่างนี้ทำได้ไม่ยากนัก
๒.ผู้มีอาหารหรือมีของกินอะไรแล้วคิดถึงคนอื่น
เช่น คิดถึงบุพการีชน คิดถึงญาติมิตรหรือคิดถึงคนที่เคยอุปการะตนมา เป็นต้น
ต้องการให้คนเหล่านั้นได้ลิ้มรสของนั้นบ้าง แล้วก็จัดแจงแจกแบ่งไปให้ตามสมควร
คนประเภทนี้เรียกว่าเป็นคนมีน้ำใจ มีอุปนิสัยเอื้อเฟื้อ จัดว่ามีความดีในระดับสอง
เพราะทำได้ยากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
๓.ผู้ได้ลาภผลอะไรแล้วไม่หลงระเริงดีใจจนเกินเหตุ
เช่น ได้ยศ ได้ตำแหน่งมาก็ไม่แสดงอาการฟูขึ้น คือไม่ลิงโลดจนออกนอกหน้า
ซึ่งแสดงถึงความเป็นคนตกอยู่ในอำนาจของโลกธรรม ไม่อาจวางใจเฉยได้
คนที่ได้อะไรแล้วหลงระเริงหลงติดหรือตกเป็นทาสของสิ่งนั้น เวลาเสื่อมลาภจะทุกข์ระทมหนักพอๆ
กับดีใจเมื่อได้ลาภ ผู้ที่ไม่หลงระเริงดีใจจนเกินเหตุเมื่อได้ลาภผลอย่างนี้
จัดว่ามีความดีในระดับสาม
๔.ผู้ประสบกับความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น เสื่อมลาภที่ตนได้มา หรือต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักของตน
ก็ไม่ลำบากใจและไม่เสียใจจนเกินควร สามารถทำใจให้เป็นปกติ ตั้งสติได้มั่นคง
คนที่ทำได้อย่างนี้จัดว่ามีความดีระดับสี่ ซึ่งสูงที่สุดในจำพวกความดี ๔ ระดับ
เพราะทำได้ยากยิ่ง
ใครจะมีความดีระดับไหน
ก็ลองนำจิตใจและอุปนิสัยที่แท้จริงของตนเองขึ้นมาวัดกับความดีทั้ง ๔
นี้ซึ่งเป็นเสมือนตาชั่ง ก็จะสามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง
และเมื่อรู้แล้วจะได้เกิดความภูมิใจว่าตนมีความดีอยู่ในระดับใด
หรือถ้าหากชั่งดูแล้วยังไม่ติดอันดับ ก็จะได้ยกระดับตัวเองให้สูงขึ้น
เพื่อจะได้ติดอันดับความดีกับเขาบ้าง อย่างน้อยสักระดับหนึ่ง
.............................................