ทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ มีพลัง มีประโยชน์
ในปัจจุบันคือทำให้ใจสบาย คลายทุกข์ หนักแน่น มั่นคง อารมณ์แจ่มใส ความจำดี
ทำงานมีประสิทธิภาพ สุขภาพดี นอนหลับสบาย เรียนหนังสือเก่ง และได้บุญ
วิธีนั่ง
ให้นั่งขัดสมาธิ คือ ขวาทับซ้ายนั่งตัวตรงหลับตาเอาสติมาจับอยู่ที่สะดือที่ท้องพอง
ยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พอง หนอ
ใจนึกกับท้องที่พองต้องให้ทันกั้นอย่าให้ก่อนหรือหลังกัน หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า
ยุบ หนอ ใจนึกกับท้องที่ยุบต้องทันกันอย่าให้ก่อนหรือหลังกัน ข้อสำคัญให้สติ
จับอยู่ที่ พอง ยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูก อย่างตะเบ็งท้อง
ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาข้างหลัง
อย่าให้เห็นเป็นไปว่า ท้องพองขึ้นข้างบน
ท้องยุบลงข้างล่างให้กำหนดเช่นนี้ตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด
เมื่อมีเวทนา
เวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดจะต้องบังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติแน่นอน จะต้องมีความอดทน
เพื่อเป็นการสร้างขันติบารมีไปด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนเสียแล้ว
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็ล้มเหลว
ในขณะที่นั่งหรือเดินจงกรมอยู่นั้นถ้ามีเวทนา
ความเจ็บ ปวดเมื่อย คัน เกิดขึ้น ให้หยุดเดินหรือหยุดกำหนดพองยุบ
ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาเกิดและกำหนดไปตามเป็นจริงว่า ปวดหนอๆ ๆ ๆ เจ็บหนอๆ ๆ ๆ
เมื่อหนอๆ ๆ ๆ คันหนอๆ ๆ ๆ เป็นต้น ให้กำหนดไปเรื่อยๆ
จนกว่าเวทนาหายไปแล้วก็กำหนดนั่งหรือเดินต่อไป
จิต เวลานั่งอยู่หรือเดินอยู่
ถ้าจิตคิดถึงบ้าน คิดถึงทรัพย์สิน หรือคิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานา
ก็ให้เอาสติปักลงที่ลิ้นปี่ พร้อมกับกำหนดว่าคิดหนอๆ ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิดแม้ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ
ก็กำหนดเช่นเดียวกันว่าดีใจหนอๆ ๆ ๆ เสียใจหนอๆ ๆ ๆ โกรธหนอๆ ๆ ๆ เป็นต้น
เวลานอน
เวลานอนค่อยๆ เอนตัวนอนพร้อมกับกำหนดตาทมไปว่า นอนหนอๆ ๆ ๆ จนกว่าจะนอนเรียบร้อย
ขณะนั้นให้เอาสติจับอยู่กับอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อนอนเรียบร้อยแล้วให้เอาสติมาจับที่ท้อง
แล้วกำหนดว่าพองหนอ ยุบหนอ ต่อไปเรื่อยๆ ให้คอยสังเกตให้ดีว่าจะหลับไปตอนพอง
หรือตอนยุบ
อิริยาบถต่างๆ การเดินไปในที่ต่างๆ
การเข้าห้องน้ำ การเข้าห้องส้วม การรับประทานอาหาร และการกระทำกิจการทั้งปวง
ผู้ปฏิบัติต้องมีสติกำหนดอยู่ทุกขณะในอาการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง คือ
มีสติสัมปชัญญะเป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา