การบำรุงพระศาสนา
การบำรุงพระศาสนา
ก็คือการทำให้พระศาสนามั่นคง เจริญ เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกได้จริง
ปัญหาว่าจะต้องทำอย่างไร คือการที่ตัวเองปฏิบัติเอง
หรือช่วยเหลือกิจการพระศาสนาบำรุงวัดวาอาราม เป็นต้น
ทายกทายิกา
ส่วนมาก ทำกันแต่บำรุงให้พระเณรได้กินดีอยู่ดี แต่แล้วก็ไม่สนใจว่า
ตัวแท้ของพระศาสนานั้นคืออะไร ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไร
เพราะมานอนใจเสียว่า ได้บำรุงพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้บุญได้กุศลจนเหลือเฟือแล้ว
จะต้องการอะไรอีกเล่า
นี่แหละคือการบำรุงพระศาสนาชนิดที่ถ้าจะเปรียบกันให้ดีแล้ว
ก็เหมือนกับการเลี้ยงไก่ไว้ไข่ให้สุนัขกิน สมมติว่า เราจะมีแต่วัดวาอารามเฉยๆ
ไม่มีพระที่เป็นเหมือนหมอ ไม่มีธรรมะที่เป็นเหมือนยา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ตัวศาสนานั้นมันอยู่ที่ตัวการดับทุกข์
หรือตัวการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์นั่นเอง ดังนั้น
ถ้าจะบำรุงพระศาสนากันให้ถูกตัวจริงแล้ว
ก็ต้องบำรุงให้เกิดความดับทุกข์ขึ้นมาจริงๆ ตามพระพุทธประสงค์ที่ว่า “ภิกษุ ท.
เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอ ท.
จะยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
หมายเหตุ เมื่อการบำรุงพระศาสนาที่แท้จริงอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติเอง
จนได้รับผลเป็นความสะอาด สว่าง สงบ เย็น ในชีวิตประจำวัน
ดังนั้นเราทุกคนจึงมีหน้าที่ศึกษาและปฏิบัติจนได้รับผลพอสมควรจึงจะนับว่าเราได้บำรุงพระศาสนา
ปัญหาว่าเราจะมีวิธีศึกษาปฏิบัติให้ลัดสั้นได้อย่างไร
ก็โดยทำวัตรสวดมนต์แปลเพราะจะทำให้เกิดการปฏิบัติจนได้รับผลเป็นความสะอาด สว่าง
สงบ เย็นในชีวิตและขอกราบเรียนว่า
หากท่านผู้ใดได้รับประโยชน์จากการศึกษาและปฏิบัติพอสมควรแล้ว จะนิ่งอยู่เฉยๆ
ไม่ได้ จะต้องหาทางทำให้แพร่หลายออกไป และนี่แหละคือการบำรุงศาสนาที่ถูกต้องแท้จริง
.......................................
กาลเวลา
อันเวลาและวารี มิได้มีจะคอยใคร
เรือเมล์และรถไฟ ย่อมไปตามเวลา
โอ้เอ้และอืดอาด มักจะพลาดปรารถนา
ชวดแล้วจะโศกา อนิจจาเราช้าไป.
"ผู้ชอบธรรมเป็นผู้เจริญ"
.......................................
กาลเวลา
อันเวลาและวารี มิได้มีจะคอยใคร
เรือเมล์และรถไฟ ย่อมไปตามเวลา
โอ้เอ้และอืดอาด มักจะพลาดปรารถนา
ชวดแล้วจะโศกา อนิจจาเราช้าไป.
"ผู้ชอบธรรมเป็นผู้เจริญ"