วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การบำรุงพระศาสนา


การบำรุงพระศาสนา
                การบำรุงพระศาสนา ก็คือการทำให้พระศาสนามั่นคง เจริญ เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกได้จริง ปัญหาว่าจะต้องทำอย่างไร คือการที่ตัวเองปฏิบัติเอง หรือช่วยเหลือกิจการพระศาสนาบำรุงวัดวาอาราม เป็นต้น
                ทายกทายิกา ส่วนมาก ทำกันแต่บำรุงให้พระเณรได้กินดีอยู่ดี แต่แล้วก็ไม่สนใจว่า ตัวแท้ของพระศาสนานั้นคืออะไร ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไร เพราะมานอนใจเสียว่า ได้บำรุงพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ได้บุญได้กุศลจนเหลือเฟือแล้ว จะต้องการอะไรอีกเล่า
                นี่แหละคือการบำรุงพระศาสนาชนิดที่ถ้าจะเปรียบกันให้ดีแล้ว ก็เหมือนกับการเลี้ยงไก่ไว้ไข่ให้สุนัขกิน สมมติว่า เราจะมีแต่วัดวาอารามเฉยๆ ไม่มีพระที่เป็นเหมือนหมอ ไม่มีธรรมะที่เป็นเหมือนยา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
                ตัวศาสนานั้นมันอยู่ที่ตัวการดับทุกข์ หรือตัวการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์นั่นเอง ดังนั้น ถ้าจะบำรุงพระศาสนากันให้ถูกตัวจริงแล้ว ก็ต้องบำรุงให้เกิดความดับทุกข์ขึ้นมาจริงๆ ตามพระพุทธประสงค์ที่ว่า “ภิกษุ ท. เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอ ท. จะยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
หมายเหตุ  เมื่อการบำรุงพระศาสนาที่แท้จริงอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติเอง จนได้รับผลเป็นความสะอาด สว่าง สงบ เย็น ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเราทุกคนจึงมีหน้าที่ศึกษาและปฏิบัติจนได้รับผลพอสมควรจึงจะนับว่าเราได้บำรุงพระศาสนา ปัญหาว่าเราจะมีวิธีศึกษาปฏิบัติให้ลัดสั้นได้อย่างไร ก็โดยทำวัตรสวดมนต์แปลเพราะจะทำให้เกิดการปฏิบัติจนได้รับผลเป็นความสะอาด สว่าง สงบ เย็นในชีวิตและขอกราบเรียนว่า หากท่านผู้ใดได้รับประโยชน์จากการศึกษาและปฏิบัติพอสมควรแล้ว จะนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ จะต้องหาทางทำให้แพร่หลายออกไป และนี่แหละคือการบำรุงศาสนาที่ถูกต้องแท้จริง
.......................................



กาลเวลา
 อันเวลาและวารี   มิได้มีจะคอยใคร
เรือเมล์และรถไฟ   ย่อมไปตามเวลา
โอ้เอ้และอืดอาด   มักจะพลาดปรารถนา
ชวดแล้วจะโศกา   อนิจจาเราช้าไป.
         "ผู้ชอบธรรมเป็นผู้เจริญ"