ในคนคนหนึ่งย่อมมีพลังเฉพาะตัวเพียงระดับหนึ่ง สามารถแบกหามได้เท่านั้น มองเห็นได้เท่านั้นคิดอ่านได้เท่านี้ คือเท่าที่ขอบเขตของตนเองจะสามารถทำได้ แต่ถ้าคนสองคนสามัคคีกันร่วมแรงร่วมใจกันพลังทั้งหมดนั้นก็จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว พลังสามัคคีนี้ ดี ง่าย ไม่ต้องซื้อหา และไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าเป็นประโยชน์แต่ความสามัคคีจะเกิดขึ้น ในทางพระพุทธศาสนาได้มีแนวปฏิบัติตามหลักธรรมสี่ประการ ดังนี้
๑.เมตตา
ความรักความปรารถนาดีต่อกัน ทั้งทางการกระทำ
ทางคำพูดและทางความคิดเพราะการอยู่ร่วมกับคนอื่น หรือกับคนหมู่มาก
ย่อมมีข้อคิดเห็นและการกระทำที่ขัดแย้งกันได้
การมีเมตตาทำให้มีต้นทุนทางอารมณ์ที่ดี พร้อมที่จะแก้ปัญหาอย่างคนที่รักใคร่
เห็นอกเห็นใจกันและกัน
๒.สาธารณโภคี
จัดสรรผลประโยชน์อย่างเสมอหน้าและเป็นธรรม ไม่มักมากเห็นแก่ตัว หรือพวกพ้องของตน
เพราะผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมย่อมก่อให้เกิดความขัดแย้งทุกยุคทุกสมัย
๓.สีลสามัญญตา
มีความประพฤติเสมอกัน ถึงจะมีการกระทำต่างกันบ้าง แต่ต้องลงกันได้ภายในกรอบกติกา
คือ ไม่ละเมิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนระเบียบแบบแผนของส่วนรวมไม่ว่าจะทำเองหรือสนับสนุนผู้อื่น
๔.ทิฏฐิสามัญญตา
มีความเห็นเสมอกัน หากยังคิดให้ตรงกันไม่ได้
อย่างต่ำที่สุดก็ต้องเห็นให้เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งว่า
ความคิดที่ไม่ตรงกันนั้นแหละ
เป็นสิทธิเสรีภาพเป็นสิ่งที่ต้องรับฟังและให้เกียรติกัน
ความเห็นที่เสมอกันอย่างนี้
จะเป็นเครื่องยับยั้งไม่ให้ความคิดที่ไม่ตรงกันกลายเป็นอาวุธทิ่มแทงจนเกิดการแตกหักได้
ถ้าคนสองคนสามัคคีกัน
พลังที่มีก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
พอจะพูดได้ว่าเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองแต่ถ้าคนสองคนแตกสามัคคี
เกลียดชังมุ่งร้ายกัน จะไม่ใช่สองหารสองแล้วกลับมาได้หนึ่งเหมือนเดิม
เพราะจะเกิดการเบียดเบียนทำลายล้างกันเอง จนแม้แต่ศักยภาพและตัวตนที่มีอยู่เดิมก็จะย่อยยับลงไปด้วย
ดังนั้นเมื่อเห็นประโยชน์ของความสามัคคีนั้นแล้ว ก็พึงดำรงตนไว้ในหลักธรรมทั้งสี่ข้างต้น
............................................