ในสมัยที่การค้าขายทางเรือเจริญรุ่งเรือง พ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายทางเรือจะนำสินค้าของตนบรรทุกเรือขึ้นล่องไปตามแม่น้ำลำคลองเพื่อค้าขายยังสถานที่ต่างๆ เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน จึงกลับบ้านสักครั้งหนึ่ง บางครั้งก็ไปพร้อมกันหลายๆ ลำเป็นหมู่คณะ พอพลบค่ำก็จอดพักแรมตามสถานที่นั้นๆ จัดแจงหาก้อนหินหรือก้อนดินมาทำเป็นก้อเส้า จุดไฟหุงต้มอาหาร กินอยู่หลับนอนและขับถ่ายกันบริเวณนั้น ครั้งรุ่งเช้าก็ล่องเรือต่อไปทิ้งให้สถานที่ที่พักแรมสกปรกรุงรังไปด้วยก้อนเส้า เศษไม้ เศษฟืน เศษอาหาร รวมทั้งสิ่งปฏิกูลอื่นๆ เจ้าของสถานที่ หรือผู้ที่ผ่านมาพบเห็นก็รังเกียจระอา จนกลายเป็นที่เข้าใจทั่วกันว่าพวกเรือเร่ก็เป็นอย่างนี้ ทั้งที่พ่อค้าเรือเร่ที่ดีๆ ก็คงจะมีอยู่ แต่ก็โดนโทษเหมารวมกันไป
โลกก็เป็นเหมือนที่พักแรมชั่วคราวซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบการของชีวิต
คนที่มาสู่โลกนี้บางคนก็ได้กำไร เพราะใช้โลกนี้เป็นเวทีสร้างความดีแก่ตน
มีน้ำใจสงเคราะห์ผู้อื่น ทำโลกให้น่าอยู่และงดงามสำหรับคนรุ่นหลัง
บางคนก็เสมอตัวแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
แต่บางคนก็สร้างความเดือดร้อนเสียหายทิ้งไว้ให้เป็นส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย
ไม่มีใครมาแล้วไม่จากไป
เกณฑ์อย่างต่ำที่สุดจึงควรเป็นว่า เมื่อมาแล้วถ้าหากสร้างคุณประโยชน์อะไรไม่ได้
อย่างน้อยก็จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร
ไม่ทิ้งความยุ่งยากและน่ารังเกียจไว้ให้คนอยู่หลัง จึงเสมอตัว
คือถึงไม่สามารถจากไปอย่างสง่างามท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญได้ แต่ก็ไม่ควรจากไปอย่างมีมลทินติดตัวท่ามกลางเสียงประณามกล่นด่าเหมือนพวกเรือเร่
............................................