การทำบุญเป็นกิจกรรมที่มีอยู่ในทุกศาสนา
โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนามีการทำบุญหลายวิธี เช่น การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
เป็นต้น เป็นวิธีชักนำให้คนเข้าหาความดี
การทำบุญนั้นไม่ว่าจะมีกรรมวิธีแตกต่างกันอย่างไร ก็ทำให้เกิดความดีที่เป็นผลรวมเหมือนกันอย่างหนึ่ง
คือปิดกั้นอกุศล ไม่ให้ความชั่วได้ช่อง
โดยธรรมชาติ
ดีกับชั่วย่อมเป็นปฏิปักษ์กันเองอยู่ในตัว ขณะที่กำลังพูดไพเราะ
จะไม่สามารถพูดคำหยาบได้ ขณะที่เกิดความรักอย่างท่วมท้นจะไม่สามารถโกรธได้
เมื่อเปิดช่องให้ความดีมากเท่าใด โอกาสของความชั่วก็น้อยลงเท่านั้น
การทำบุญจึงไม่ใช่เป็นเพียงประเพณีหรือข้อบัญญัติที่เลื่อนลอย
แต่มีผลดีต่อชีวิตจริงๆ อย่าน้อย ๒ ระยะคือ
ระยะแรก
ทำให้เกิดความสุขใจ บางคนพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง
ความมีหน้าทีตาในสังคม แต่หาความสุขใจไม่ค่อยได้
ที่เป็นดังนั้นเพราะยังเข้าไม่ถึงความสุขอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อะนะวัชชะสุข คือ
สุขเกิดจากการไม่กระทำสิ่งที่มีโทษ ได้แก่ ความปลอดโปร่งใจ
วางใจได้สนิทว่าไม่มีความผิดที่ต้องเดือดร้อนสะดุ้งระแวง มีความสงบเย็น
ไม่ถูกทำร้ายแม้จากความรู้สึกของตัวเอง
ระยะที่สอง
ทำให้เกิดความมั่นใจ โดยเฉพาะความมั่นใจในวาระสุดท้ายของชีวิต
เพราะคนที่ใกล้ตายจะต้องละทิ้งทรัพย์สมบัติครอบครัว
และญาติมิตรที่เคยเป็นที่พึ่งไว้เบื้องหลัง
ครั้นมองไปข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปไหน เผชิญกับอะไร
ตกอยู่ในสภาพอ้างว้างหวาดหวั่น เพราะไม่เห็นว่าสิ่งใดจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวพึ่งพิงได้
จึงมีแต่บุญหรือความดีเท่านั้น ที่จิตใจจะนึกหน่วงเอามาเป็นอารมณ์
ทำให้เกิดความภูมิใจและมีกำลังใจได้บุญที่ทำไว้จึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริงๆ
การทำบุญไม่ว่าในศาสนาไหน
ย่อมไม่ได้เป็นเพียงประเพณีเท่านั้น ทุกครั้งที่ทำ หมายถึงได้ปิดกั้นความชั่ว
เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขใจและมั่นใจ ทำให้ชีวิตเป็นสุขขึ้นทันตาเห็น
ไม่ใช่เรื่องควรรังเกียจหรือน่าเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
............................................