ในนาทีสุดท้ายก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำนักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตไปสู่แดนประหารนั้น
เจ้าหน้าที่จะถามคำถามสุดท้ายกับนักโทษจนเป็นกลายเป็นธรรมเนียมว่า
“จะสั่งความไปบอกลูกเมียอย่างไรบ้าง”
และเขาจะถือว่าคำสั่งสุดท้ายก่อนตายนั้นมีความสำคัญที่สุด เจ้าหน้าที่จะต้องพยายามทำตามที่เขาสั่ง
ผลปรากฏว่า นักโทษทุกคนเมื่อสั่งความไปบอกลูกนั้น มักกล่าวเป็นแนวทางเดียวกันว่า
“ขอให้ลูกประพฤติตนเป็นคนดี อย่างเอาอย่างพ่อเป็นอันขาด”
จะเห็นได้ว่าความดีนั้นเป็นยอดปารถนาของนักโทษประหารทุกๆ คน ถึงแม้จะเคยทำความผิด
ความชั่วถึงขนาดต้องโทษประหาร แต่จริงๆ
ในส่วนลึกของหัวใจของเขาเหล่านั้นก็ยังต้องการความดี อยากเห็นความดี ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงความดีไว้ ๓
ประการ ที่ผู้ต้องการดีจะต้องปลูกฝังอบรมให้มีในตน คือ
๑.
รู้ดี โดยวิธีสากลที่ทำกันอยู่เป็นพื้นคือ การศึกษาจากแหล่งต่างๆ
ซึ่งจะก่อให้เกิดสติปัญญาเข้าใจรู้จักสิ่งต่างๆ ในโลกได้ดียิ่งขึ้น
ช่วยส่องเหตุส่องผล ส่องผิดส่องถูก คอยกำจัดความมืดมนให้แก่ชีวิต จึงถือได้ว่า
รู้ดี เป็นแสงสว่างคอยอำนวยช่วยประคองตนให้ดำเนินชีวิตไม่ผิดพลาด
ดังพุทธภาษิตที่ว่า สุวิชาโน ภะวัง โหติ มีความหมายว่า ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ
๒.
สามารถดี ซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงสมรรถภาพที่มีอยู่ในตน
ในเรื่องการดำเนินชีวิตและการทำงานทั้งงานที่สร้างสรรค์ คือ
งานที่ต้องทำให้เกิดใหม่ ใช้ประโยชน์ได้มีคุณภาพสูง และงานที่ซ่อมแซม
คือสิ่งที่เสื่อมโทรม ต้องแก้ไขปรับปรุงให้มีคุณภาพดี นำไปใช้ประโยชน์ได้อีก
คนที่มีความสามารถจึงเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไป
๓.
ประพฤติดี หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงออกทาง กาย วาจา ใจ
คอยประคองควบคุมให้เป็นไปอย่างมีกฎเกณฑ์ ตามกฎหมายบ้านเมืองและกฎแห่งศีลธรรม
ไม่ให้เป็นไปในทางก่อความเสียหายแก่ใครๆ
ความดีทั้ง
๓ ประการนี้ รู้ดี จะเกิดมีเพราะการศึกษา สามารถดี เกิดจากการฝึกฝน ส่วนประพฤติดี
เกิดจากการสำรวม ดังนั้นเมื่อทุกคนต้องการความดี อยากจะเป็นคนดี
ก็ขอให้ช่วยกันปลูกฝังเหตุปัจจัยของความดี ด้วยการศึกษา ฝึกฝน
สำรวมตนกันเสียในอันดับแรก
.......................................