วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชีวิตในธรรมชาติ


                หากพิจารณาดูสิ่งทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ก็จะพบว่าทั้งที่มีคุณและที่มีโทษเฉพาะสิ่งที่มีโทษต่อคนก็มีมากมายนับไม่ถ้วน มีทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ซึ่งล้วนมีอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ แต่ทว่าสิ่งดังกล่าวนั้นจะให้โทษต่อเมื่อคนไปรับเข้ามา หรือสิ่งนั้นเข้ามาสู่ตัวคนทางใดทางหนึ่ง เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง
                เมื่อเราอยู่ในธรรมชาติที่มีทั้งคุณและโทษเช่นนี้ ก็ต้องระมัดระวังและใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชีวิต อันที่จริง ชีวิตคนเราก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มีลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกสลายไปตามธรรมดา แต่เป็นธรรมชาติที่มีจิตวิญญาณซึ่งอาจให้ทั้งคุณและโทษแก่ธรรมชาติอย่างอื่นได้ เช่นเดียวกับธรรมชาติภายนอก แต่ว่าคนมีความพิเศษตรงที่สามารถอบรมพัฒนาตนเอง สร้างจิตสำนึก อนุรักษ์และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามแก่สภาพแวดล้อมได้ เช่น งดเว้นการทำลายธรรมชาติทั่วไป เพราะธรรมชาติคือสิ่งที่เกิดมีขึ้นเองโดยสภาพของตน เช่น ต้นไม้ ลำธาร ภูเขา น้ำฝน ความเย็น ความร้อน รวมทั้งสิ่งมีชีวิต เป็นต้น ย่อมมีความเกี่ยวพันกัน อาศัยกัน มากบ้างน้อยบ้าง นี่คือธรรมชาติภายนอก
                แต่มีธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งอยู่ภายในตัวคน ซึ่งมีทั้งคุณและโทษเช่นเดียวกับธรรมชาติภายนอก กล่าวคือ ส่วนที่เป็นคุณ ได้แก่ คุณธรรมต่างๆ เช่น ความรัก ความเมตตา ที่ช่วยให้คนเราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่ส่วนที่ให้โทษ ได้แก่ เครื่องเศร้าหมองในจิตใจ เช่น อยากได้จนเกินขอบเขต โกรธ เกลียด อิจฉาริษยากัน และความงมงายต่างๆ ทำให้จิตวุ่นวายเป็นทุกข์ ทำลายจิตให้เสื่อมคุณภาพลง คล้ายสนิมเหล็กเกิดที่เหล็กแล้ว กัดเหล็กให้ผุกร่อนไป
                ด้วยเหตุที่ชีวิตมนุษย์เกี่ยวพันกับธรรมชาติ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังมิให้ธรรมชาติภายในคือ กิเลสกำเริบขึ้นจนเป็นโทษ หากรู้ว่ากิเลสเกิดขึ้น ต้องชำระหรือสลัดทิ้งทันที เพราะใจที่ไร้สนิมคือกิเลส ย่อมช่วยให้ชีวิตมีความสุข อันเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา

.....................................