วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

โลกียะสุข

โลกียะสุขคือสุขที่เป็นม่านปิดบังทุกข์ ส่วนโลกกุตระสุข คือสุขทีเปิดม่าน มาดับเย็นภายในจิต ที่เกิดทุกข์ เมื่อโลกียะสุขหมดไป เปรียบดัง กิน กาม เกียรติ หมดลง เสื่อมลง ทุกข์ก็ยังตั้งรออยู่ ไม่ได้ถูกทำลายไปไหน เหลือแต่กองเพลิงในดวงจิต เพราะโลกียะสุขที่เป็นม่านหมอกจางลง เบาบางลง ไม่มีอะไรมาบังกองเพลิงจิต ได้เห็นจิต ภายในจิตที่ซ่อนกองเพลิงอยู่ เหลือแต่เศษขยะโลกียะสุข ได้ขยะกองทุกข์เท่ากองภูเขารออยู่ในจิตภายในจิตที่ร้อนรนยิ่งกว่าเปลวเพลิงที่เป็นกองไฟนรกเสียอีก ส่วนกองสุข ที่ดับเย็น จิตภายในจิต มองหาไม่เจอเลย เพราะจิต ยังไม่รู้ว่าดับเย็นของจิตภายในจิต เป็นอย่างไร คือผู้ไม่มีปัญญาญาณ ถูกแต่ปัญญาไอคิว๑๘๐ครอบงำ มีแต่ปัญญาทางโลกธรรมครอบงำจิตอยู่ แต่ไม่มีปัญญทางโลกุตระ ทีเป็นปัญญาญาณในการ ดับเย็นของจิตภายในจิต โดยปฎิบัติเจร็ญภาวนาบ้าง ไม่ใช่มีแตปัญญาทางโลก หาเงิน ทำงาน หาทอง หาโลกียะสุข แสวงกิน แสวงกาม แสวงเกียรติ์ แสวงลาบ แสวงตำแหน่ง แสวงความเป็นมหาเศรษฐี แสวงการได้เมีย แสวงการอยากได้ลูก แสวงหาการอยากได้สิ่งต่าง ของโลกียะสุขที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ้งเป็น ปัญญาทางไอคิว๑๘๐ ล้วนๆ เป็นปัญญาที่เพิ่มกองเพลิง จิตภายในจิต แต่ปัญญาญาณ เป็นปัญญาทางโลกุตระจิต เป็นปัญญาที่ สามารถดับกองเพลิงจิตภายในจิตที่ร้อนรน ให้เป็น ให้เกิด จิตภายในจิตที่ดับเย็นได้คิอปัญญาวิปัสนาญาณ เป็นปัญญาวิมุติ เป็นปัญญาญาณทางโลกุตระที่ดับเย็นกิเลสที่ร้อนรุ่มภายในจิตโดยแท้ และเป็นปัญาญาณทางโลกุตระ ปัญญาเดียวเท่านั้น 


ปัญญาทางโลก ให้เรียนวิชาในโลกใบนี้ 
เก่งขนาด ผู้คิดค้นระเบิดปรมณูได้ แต่ยังไม่มีปัญญาญาณ ที่ดับเย็น จิตภายในจิตได้เลย หรือ ผู้เรียนจบ ดอกเตอร์ มาในวิชา ที่มีอยูในมหาลัย ทั้งโลกใบนี้ ก็ยังไม่มีปัญญาญาณดับเย็น จิตภายในจิตได้เลย นอกจากปัญญาญาณ ของโลกุตระ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงชี้ทางไว้ให้เดินตามนี้ เป็นปัญญาญาณ ที่ดับเย็น เป็นปัญญาที่นำพาจิต ละออกจากกิเลส ตัณหา ตัวอวิชา ที่เป็นกิเลสหรอกจิต เห็น ตัววิชา คือธรรมะแท้ มาทำลายกิเลส ที่มาบดบังจิต ให้มืดมน มานับภพ มานับชาติไม่ถ้วน เปรียบดังน้ำฝน(พระธรรม) โปรยตกลงมา ทำให้ตัวอวิชา(กิเลสปลอม)ที่มนุษย์โดนหลอก ถูกหลงทางมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้เหลือตัว วิชา คือธรรมะแท้ ที่มีสภาพความเป็นจริง นั้นเป็นอย่างไรเรียกว่า เป็นผู้เริ่มมี ปัญญาญาณ คือปัญญาทางโลกุตระธรรมแล้ว

ผู้ห่างธรรม เป็นผู้เสื่อม(จิตเสื่อมจากโลกุตระ จิตร้อนรน) 
ผู้ใกล้ธรรมเป็นผู้เจริญ(จิต มีความดับเย็น จิตภายในจิต จิตไม่ร้อนรน ทุรนทุราย จิตรู้ได้ ด้วยจิตเอง มีปัญญาญาณ ที่รู้แจ้งด้วยจิตเอง ในทางโลกธรรมเช่นกัน จิตร้อนรนภายในจิต ในจิตเอง มีปัญญาทางโลกที่มืดบอด หลงผิดว่า สุขแล้ว ในโลกียะสุข กิน กาม เกียรติ ลาบ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์ สมบัติ รถ บ้าน โฉนดที่ดิน เมียสวยๆ ผัวรวยๆ ลูกน่ารัก ตระกูลเจริญแต่ทางวัตุกาม และ สมหวังในวัตถุกามที่มีวิญญาณ หารู้ไม่ แท้จริง เป็นสมบัติแห่งกิเลส ที่ซ่อนด้วยเปลวเพลิงร้อน เห็นแต่ปัญญาทางโลกอย่างเดียว แต่ขาดปัญญาทางธรรม.