อันตัวเรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด ผู้อื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น
และด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจึงจัด “ความสุข”
ว่าเป็นสิ่งประเสริฐที่บุคคลทุกหมู่เหล่าปรารถนา และถ้าการแสวงหาความสุขเช่นนั้น
เป็นไปอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมด้วยแล้ว ก็ยิ่ง จะเป็นความสุขที่บริสุทธิ์สมบูรณ์
เหมาะสมที่จะเป็นพรข้อที่ ๓ ในบรรดาพร ๔ ประการ
ตามหลักพระพุทธศาสนา
ความสุขของสามัญชนผู้ครองเรือน มี ๔ ประการ คือ
๓. อรณสุข ความสุขเกิดจากการไม่ต้องเป็นหนี้
การใช้จ่ายทรัพย์ที่จะก่อให้เกิดสุขนั้น จะต้องระวังไม่ให้เกินตัว
จนเกิดปัญหาพาก่อหนี้ จึงจะมีความสุข ไม่ต้องลำบากรับบทเป็นมิตรเมื่อกู้
เป็นศัตรูเมื่อถูกทวง
๔.
อนวัชชสุข ความสุขที่เกิดจากการประกอบการงานที่ปราศจากโทษ
การงานที่สุจริตถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีโทษ คือไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดหลักศีลธรรม
เป็นฐานให้ความสุขอื่นๆ เกิดตามมา
คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนคนใดมีทรัพย์สิน
ใช้จ่ายทรัพย์สินนั้นเพื่อการบริโภค ไม่มีหนี้สิน และประกอบอาชีพสุจริต
คฤหัสถ์ผู้นั้นจัดเป็นบุคคลที่มีพรข้อที่ ๓ คือ สุขะ ดังกล่าว นั่นเอง
สุขตามที่กล่าวมานี้เป็นสุขที่ยังต้องมีเครื่องล่อให้เกิด
เช่น ต้องมีทรัพย์ ต้องใช้จ่ายทรัพย์ เป็นต้น
ยังเสี่ยงต่อการที่จะเกิดทุกข์ได้ง่าย เช่น
มีทรัพย์ก็ต้องมีภาระในการบริหารดูแลทรัพย์ ถ้าทรัพย์สูญเสียไปก็เกิดทุกข์
หรืออาจใช้ทรัพย์ไปในทางที่ก่อให้เกิดโทษ ก็เป็นทุกข์ได้อีก
ท่านจึงสอนให้รู้จักสร้างสุข ที่ไม่ต้องมีวัตถุเป็นเครื่องล่อ
คือสุขที่เกิดจากการทำความดี มีศีลธรรม บรรเทาความโลภ โกรธ หลง ให้น้อยลง
บำเพ็ญประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ให้มากขึ้น เป็นต้น ทำได้เช่นนี้ ความสุข สงบ เย็น
อันเป็นความสุขที่บริสุทธิ์สะอาด ก็จะเกิดขึ้น เป็นพรอันประเสริฐ แก่ชีวิตของเรา
..........................................