มุทิตาจิต
หมายถึง ความเป็นผู้มีจิตใจชื่นชมยินดีในเมื่อผู้อื่นได้ดีหรือได้รับความสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นอาการที่เกิดขึ้นในใจเองโดยไม่มีใครบังคับ
แต่เกิดขึ้นเพราะจิตใจที่ปราศจากความอิจฉาริษยา เกิดขึ้นเพราะเป็นผู้มีปกติ ยอมรับในความดีหรือความสำเร็จของคนอื่น
เพราะฉะนั้น จึงเรียกเป็นคำเต็มได้ว่า “มุทิตาจิต” คุณธรรมข้อมุทิตาจิตนี้ มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ
หรือเกิดขึ้นแก่ทุกคน คนที่ทำให้จิตเกิดมุทิตาธรรมได้
ต้องเป็นบุคคลพิเศษที่สามารถยกระดับจิตใจให้สูงกว่าคนธรรมดาสามัญ เป็นคนเปิดใจกว้างยอมรับความดีของผู้อื่นและพร้อมเสมอที่จะแสดงความชื่นชมเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี
ผู้ทำได้ดังนี้ทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นผู้ยกระดับจิตใจถึงขั้นระดับเป็นพรหมทีเดียว
เพราะมุทิตานั้นเป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของพรหม การแสดงออกซึ่งมุทิตาจิต มิได้หมายถึงการนำเครื่องสักการะไปถวาย
การนำกระเช้าดอกไม้ไปให้ การเลี้ยงสังสรรค์กันในโอกาสต่างๆ
หรือการกล่าวอวยพรกันเท่านั้น
เพราะการแสดงออกเช่นนั้นเป็นเพียงเครื่องหมายที่ให้รู้ว่ามีมุทิตาธรรมอยู่ในใจ
แท้จริงมุทิตานั้นจะต้องเริ่มต้นเกิดที่จิตใจก่อน เช่น แสดงความยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น
โดยเริ่มต้นจากคนในครอบครัวก่อนก็ได้ เช่น ยินดีต่อน้องๆ ที่สอบได้ ยินดีต่อพี่ๆ
ที่ได้งานทำ ขยายวงกว้างออกไปจนถึงเพื่อนๆ ต่อไปถึงผู้ร่วมงาน
เมื่อทำได้อย่างนี้ไม่นานมุทิตาก็จะเกิดขึ้นเต็มจิตใจและขยายกว้างออกไปจนมีเขตจำกัด
ผลดีน่าอัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ อาการหงุดหงิดงุ่นง่าน อันเกิดจากความอิจฉาริษยาจะหมดไปจากจิตใจ
เหลือแต่ปีติที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้ชุ่มชื่น อยู่เสมอ มุทิตาจิต
เป็นยาวิเศษที่ทำให้คนเรายิ้มแย้มเข้ากันคบกันได้อย่างสนิทใจ
เป็นโซ่ทองคล้องใจกันได้นานแสนนาน สมดังโคลงโลกนิติ ที่ว่า
มุทิตาเตือนจิตให้ คนหวัง พึ่งนา
แรงเคียดคนหน่ายชัง ทั่วหนา
ทานเป็นยอดยายัง เกียรติยศ ยิ่งแฮ
ริษยากลกำพรา พรากผู้สมาคม
ดังนั้น เราควรสร้างมุทิตาธรรมให้เกิดมีในจิตใจกันเถิด
เพื่อสังคมจะไดสงบสุขและสดใส
.......................................