วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

อยู่กันด้วยเมตตา


                ในการปกครองบังคับบัญชา ธรรมะมักจะถูกนำมาอ้างอิงหรือพูดถึงอยู่เสมอ เช่น เราปกครองกันด้วยธรรมะ หรือเราอยู่กันด้วยเมตตา เป็นต้น จนบางครั้ง เป็นเหตุละเลยการกวดขันให้เป็นไปตามระเบียบหรือลงโทษผู้กระทำผิด หากใครไปกวดขันเอาจริงเข้า ก็อาจถูกมองว่าเป็นผู้ขาดเมตตาไปได้ง่ายๆ ความจริง เมื่อจะใช้สิ่งของอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ต้องศึกษาให้รู้วิธีการเสียก่อนจึงจะใช้ถูก ธรรมะก็เหมือนกัน แต่บางคนใช้ธรรมะโดยวิธีฟังชื่อแล้วบวกเข้ากับความเข้าใจของตน เช่น พอได้ยินชื่อว่าเมตตาก็เอาประสบการณ์ และความรู้สึกเข้าจับแล้ว มองเห็นเป็นช่องเป็นชั้นว่า หมายถึงอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ทั้งที่ความจริง เมตตาที่ถูกแท้นั้น ต้องปฏิบัติให้ครบหลักการใหญ่ที่ท่านเรียกว่า พรหมวิหาร คือ
                ๑. เมตตา ความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน
                ๒. กรุณา ความสงสาร ช่วยเหลือกันเมื่อยามประสบทุกข์
                ๓. มุทิตา ความเบิกบาน พลอยยินดีเมื่อเขามีสุข
                ๔. อุเบกขา ยึดในเหตุผล วางเฉยเพื่อรักษาความถูกต้อง
                ทั้ง ๔ ข้อนี้ต้องมีให้ครบ คือปฏิบัติข้อใดก็ต้องไม่ให้เสียถึงข้ออื่นที่เหลือ เช่น จะเมตตากรุณาก็ต้องไม่ให้เสีย อุเบกขา ไม่ให้ความผิดถูกหรือความเป็นธรรมต้องเสียไป หรืออุเบกขาวางเฉยก็เพราะเหตุสุดวิสัยจะช่วยได้ด้วยถึงคราวที่จะต้องยึดหลักการ แต่ใจนั้นยังเมตตาสงสารอยู่ ไม่โกรธแค้นชิงชัง
                ในแง่ของการปกครอง เมตตาที่ขาดอุเบกขา ก็หย่อนยานไร้สมรรถภาพ อุเบกขาที่ไม่มี เมตตาก็เครียดเป็นทุกข์ และหวาดระแวง ดังนั้น แม้จะพูดเพียงสั้นๆ ว่าเราอยู่กันด้วยเมตตา แต่ในทางปฏิบัติต้องผสมผสานกันให้ได้เป็นอย่างดีระหว่าง เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

.......................................