วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ม่านบังใจ


                ม่านคือสิ่งที่ปิดกั้นหรือบังไว้มิให้มองเห็นอีกด้านหนึ่ง อาจมีลักษณะหนาทึบมองเห็นเพียงตัวม่าน หรือถ้าม่านนั้นบาง อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่หลังม่านเพียงเลือนราง ม่านที่บังสายตา จัดเป็นม่านภายนอก เรียกว่า ม่านบังตา แต่มีม่านอีกชนิดหนึ่งเป็นม่านภายในเรียกว่า ม่านบังใจ สิ่งที่ถือว่าเป็นม่านบังใจนั้นหลายแบบ แต่ที่สำคัญมีอยู่ ๓ แบบ คือ
                แบบที่ ๑ ได้แก่ ความยากได้ในทางที่ผิด ถ้าบังใจใครเข้าแล้วจะทำให้เกิดอาการหิวโหยอยากได้แล้วชักจูงใจลงมือปฏิบัติการต่อทรัพย์สินของผู้อื่นในทางที่มิชอบ มองเห็นแต่จะได้เพียงด้านเดียว ไม่เห็นความเสียหายซึ่งจะเกิดขึ้นตามมา
                แบบที่ ๒ ได้แก่ ความคิดประทุษร้าย เมื่อบังใจใครเข้าแล้ว ใจจะเร่าร้อน เดือดดาล หงุดหงิดคิดทำร้ายประหัตประหาร รู้สึกสะใจเมื่อได้ทำเช่นนั้น มองเห็นแต่ส่วนที่ต้องทำลายล้างอย่างเดียว หาได้เฉลียวใจถึงผลกรรมร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นไม่
                แบบที่ ๓ ได้แก่ ความหลงผิด หากบังใจของใครแล้ว จะทำให้มืดมิดมืดมัว ชักจูงให้หลงใหลในอบายมุขบ้าง ติดใจความสบายเห็นความมักง่ายเป็นนิสัยควรทำบ้าง เข้าทำนองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นชั่วเป็นดี เคลิบเคลิ้มไปกับสิ่งไร้สาระ ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย แม้อยู่กับสิ่งที่เป็นอันตรายก็ไม่รู้ เพราะแยกไม่ออกว่ามีโทษ เห็นแต่เพียงว่าเป็นประโยชน์เพราะตนพอใจเท่านั้นเอง
                เมื่อใจถูกม่านดังกล่าวมาบดบังไว้ ต้องรีบทำลายหรือปลดม่านนั้นออกด้วยวิธีการทางธรรมะ กล่าวคือ ใช้ทานหรือการรู้จักเสียสละพิชิตม่านคือโลภะ ใช้ขันติ และเมตตาขจัดม่านคือโทสะ และใช้ปัญญารู้ผิดชอบชั่วดีปลอดเปลื้องโมหะ
                ดังนั้น ผู้ต้องการมีชีวิตปกติสุข จะต้องระวังอย่าให้เกิดม่านขึ้นมาบังใจเป็นอันขาด หากมีก็ต้องรีบสะสาง แก้ไขทันที ไม่ควรมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อไม่มีสิ่งใดมาเป็นม่านบังใจแล้ว ชีวิตย่อมแจ่มใส ปลอดภัยและเป็นสุข

.......................................