คนเรานั้น ถ้ามีความเห็นต่อปัญหาต่างๆ
ไม่เหมือนกัน
ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งกันได้เพราะต่างคนก็มุ่งจะผลักดันวิธีการของตนเพื่อไปสู่เป้าประสงค์ที่เห็นว่าถูกต้อง
เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นจึงต้องช่วยกันบริหารจัดการความขัดแย้งนั้นให้สงบระงับเสีย
ด้วยการปรับตัวในสามเรื่อง
แรกสุดก็คือการยึดถือผลประโยชน์ร่วมกัน
หมายถึงหาจุดที่เป็นประโยชน์ร่วมกันให้ได้เพราะมนุษย์ย่อมมีความสัมพันธ์กันด้วยผลประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
เช่น มีชาตินี่แหละเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ถ้าชาติล่มสลายทางด้านความมั่นคงบ้าง
ด้านเศรษฐกิจบ้าง
ก็จะไม่มีใครอยู่เย็นเป็นสุขอย่างที่เคยเป็นเมื่อมีจุดที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันอย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องช่วยกันรักษาประโยชน์นั้นไว้ให้ได้ก่อน
ต่อมาก็ถึงขั้นของความเสียสละ
คือสละผลประโยชน์ส่วนตนบ้าง ความคิดเห็นส่วนตนบ้าง และความรู้สึกส่วนตนบ้าง
เพราะผลประโยชน์ ทิฐิ และอารมณ์
ล้วนเป็นอาหารโอชะที่หล่อเลี้ยงความขัดแย้งให้งอกงาม การยอมสละเรื่องเหล่านี้บ้าง
จึงไม่ใช่เสียทั้งหมด แต่เป็นการเสียบางอย่างเพื่อให้ได้บางอย่าง
สุดท้ายก็คือต้องยึดระเบียบวินัยไว้ให้ได้
เคารพกฎกติกาของสังคมทั้งที่เป็นกฎหมายบ้านเมือง และศีลธรรมทางศาสนา
ระเบียบวินัยนี้ จะเป็นตัวควบคุมระดับของความขัดแย้ง
และเปิดโอกาสให้การบริหารจัดการความขัดแย้งดำเนินไปได้
เพราะหากละเมิดกฎตามใจชอบก็ต้องเสียเวลาไปแก้ไขผลร้ายที่เกิดจากการละเมิดนั้นร่ำไป
โอกาสที่จะแก้ความขัดแย้งเดิมก็ไม่มี แถมเพิ่มความขัดแย้งใหม่เข้ามาอีก
ความขัดแย้งที่เกิดจากความเห็นต่างก็ดี
จากผลประโยชน์ก็ดี จากอารมณ์ก็ดี เกิดได้ทุกที่ ทั้งระหว่างเพื่อนกับเพื่อน
ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือเกิดได้แม้ระหว่างพ่อกับลูกซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันด้วยซ้ำ
ไม่จำต้องกล่าวถึงสังคมคนหมู่มาก แต่ถ้าเกิดแล้วแก้ไขได้เรื่องก็จบ
ถ้าแก้ไขไม่ได้จะไม่เป็นผลดีกับฝ่ายไหนเลย คือไม่มีใครได้ชัยชนะอย่างแท้จริง
พึงดูครอบครัว สังคมหรือประเทศชาติอื่นที่เคยตกเป็นเหยื่อความขัดแย้งมาแล้วเถิด
......................................