วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หนี้


                เมื่อกล่าวถึงคำว่า หนี้ ถ้ามองในแง่บุคคล จะประกอบด้วยกลุ่มชน ๒ ฝ่าย คือ เจ้าหน้า  และลูกหนี้ และไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม พอเข้ามาสู่ระบบหนี้แล้ว ก็มักจะเกิดความกลัวขึ้นด้วยกันทั้งนั้น คือ ฝ่ายเจ้าหนี้ กลัวว่าจะถูกโกง  ฝ่ายลูกหนี้ กลัวจะหาเงินมาใช้คืนไม่ทันกำหนด กลัวถูกทวง จึงเกิดความทุกข์ใจว่ายืมเขามาใช้ประเดี๋ยวก็หมด แต่เวลาใช้คืนกว่าจะหมดช่างนานจริงๆ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว วัน เวลา ก็คงดำเนินไปเป็น ปกติ แต่ที่ผิดปกติก็คือ ความรู้สึกของลูกหนี้ต่างหาก กล่าวโดยภาพรวมในทางธรรม อาจจะแบ่งหนี้ ออกเป็น ๒ ประเภท คือ หนี้สิน กับหนี้กรรม
                หนี้สิน ได้แก่ ทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้ที่เรียกว่า เจ้าหนี้ และผู้รับที่เรียกว่า ลูกหนี้ และ ลูกหนี้จะต้องใช้หนี้ หรือตอบแทนให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นหนี้ จึงจะเป็นไทแก่ตัวเอง แต่ถ้าใช้หนี้ไม่หมดด้วย ความจงใจก็ดี ด้วยความพลั้งเผลอก็ดี จะแปรสภาพไปเป็นหนี้ประเภทที่ ๒ คือ หนี้กรรม ภาษาพระท่านเรียกว่า เศษกรรมหมายถึง การกระทำใดๆ ก็ตามที่ยังปลดเปลื้องหรือรับผลของการกระทำนั้นไม่หมด หรือยังไม่เสร็จสิ้น ยังเหลือเศษที่ จะคอยตามให้ผล ตามเก็บหนี้ข้ามภพข้ามชาติจนกว่าจะหมด ไม่มีทางที่จะหลบหลีกได้ ดังมี คำกลองเตือนใจ ทางธรรมดังนี้
                จะซ่อนตัวในกลีบเมฆกลางเวหา     ซ่อนกายากลางสมุทรสุดวิสัย
จะซ่อนตัวในป่าเขาลำเนาไพร                         ณ ถิ่นใดพ้นกรรมนั้นไม่มี
                คนเราเกิดมาล้วนเป็นหนี้ด้วยกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหนี้บุญคุณหรือเป็นหนี้สินเพราะไปยืมเขามา ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ต้องรีบขวนขวายใช้หนี้เสียให้หมด อย่าปล่อยให้เป็นหนี้กรรม ตามรบกวนใจให้เป็นทุกข์  ดั่งคำพระท่านว่า
                “ อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก แต่การไม่ก่อหนี้ยืมสินนั้นแหละนับว่าเป็นสุขที่สุดในโลก ”

.......................................