ในพระคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท
มีเรื่องเล่าว่า นางมัลลิกา ภรรยาของพันธุละเสนาบดีแห่งเมืองไพศาลี มีลูกชายแฝด ๑๖
คู่ ๓๒ คน คราวหนึ่ง สามีและลูกทั้งหลายถูกทางการส่งออกไปปราบโจรที่ชายแดน
ระหว่างนั้น นางมัลลิกาได้นิมนต์พระมาฉันที่บ้าน
ขณะเลี้ยงพระอยู่นั้นได้รับแจ้งข่าวว่าสามีและลูกเสียชีวิตทั้งหมด
ถึงข่าวจะร้ายแรงขนาดนั้น นางก็สามารถทำใจให้เป็นปกติเลี้ยงอาหารพระสงฆ์
ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในระหว่างนั้น คนใช้คนหนึ่งทำชามแตก
พระสารีบุตรซึ่งได้รับอาราธนาไปฉันภัตตาหารด้วย จึงกล่าวเป็นธรรมะเตือนใจว่า
“วัตถุที่มีอันจะแตกไปเป็นธรรมดาได้แตกไปแล้ว” นางจึงตอบว่า “พระคุณเจ้า
อย่าว่าแต่เพียงชามแตกเลยแม้สามีและลูกตายหมด โยมยังทำใจได้เลย”
ในสภาพการณ์ปัจจุบัน มีคนเป็นจำนวนมากที่มักจะพูดว่า “การทำใจ เป็นเรื่องพูดง่าย
แต่ทำยาก เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราประสบกับสิ่งเลวร้ายในชีวิเข้าแล้ว
การปรับใจให้อยู่ในภาวะปกตินั้น เป็นสิ่งที่ได้ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน
“เรื่องนี้เป็นความจริง แต่ที่จริงยิ่งกว่านั้นก็คือ มนุษย์ก็คือ
มนุษย์เราจะทำใจได้หรือไม่นั้น ข้อสำคัญอยู่ที่การฝึกฝน
เรื่องที่ท่านอนให้นำมาเป็นหลักคิดเพื่อฝึกใจ เรียกว่า อภิณหปัจจเวกขณะ แปลว่า
สิ่งที่ควรพิจารณาบ่อยๆ มีอยู่ ๕ เรื่องคือ
๑.
ควรพิจารณาทุกวันๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแกไปได้
๒.ควรพิจารณาทุกวันๆ
ว่า เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้
๓.ควรพิจารณาทุกวันๆ
ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
๔.ควรพิจารณาทุกวันๆ
ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น
๕.ควรพิจารณาทุกวันๆ
ว่า เรามีกรรมเป็นของตัวเราทำกรรมอันใดไว้จักต้องรับผลของกรรมนั้น
ในชีวิตประจำวัน
หากมนุษย์เราขยันนำเอาหลักทั้ง ๕ มาพิจารณาทุกขณะจิตที่คิด
เมื่อพบกับเหตุการณ์ที่ร้ายแรงสักเพียงไร ก็จะสามารถเก็บอารมณ์อยู่
ทำใจได้เหมือนนางมัลลิกา ที่เล่ามา เพราะคนเราจะทำเช่นนั้นได้ก็ด้วยการฝึกเท่านั้น
เรื่องดีๆ อย่างนี้ ท่านควรลองฝึกดูบ้างเป็นประจำ
.......................................