สวรรค์บนดิน
สวรรค์เป็นถิ่นของเทวดา
(เขาว่ากันมาอย่างนั้น) คนจำนวนมากปรารถนาไปเกิดในสวรรค์ เพราะเชื่อว่า
สวรรค์นั้นเป็นภพภูมิที่สมบูรณ์ด้วยความสุข พรั่งพร้อมด้วยสิ่ง อันพึงปรารถนา
แต่ในอีกด้านหนึ่ง
พระพุทธศาสนาได้สอนให้คนพัฒนาจิตใจตนเองให้ประณีตขึ้น สูงขึ้น จนเป็นเทวดาได้
แม้ในขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่นี่เอง ด้วยการยึดมั่นอยู่ในเทวธรรม ๒ ประการ คือ
หิริ- ความละอายแก่ใจที่จะกระทำชั่ว และโอตตัปปะ- ความเกรงกลัวต่อผลที่จะได้รับจากการกระทำชั่ว
ในส่วนของความละอายนั้นมีวิธีที่สามารถสร้างให้เกิดได้กับตนเอง
๔ ประการคือ
๑.ปรารภชาติตระกูล
ว่าตนเองมีชาติตระกูลอันสูงส่ง หรือแม้เป็นตระกูลต่ำต้อยด้อยศักดิ์
บรรพบุรุษไม่เคยสร้างความชั่วเป็นที่เสื่อมเสียมัวหมอง
หากวงศ์ตระกูลที่บริสุทธิ์ต้องมาด่างพร้อยเพราะตนเองเป็นเหตุ
จึงเป็นเรื่องน่าละอาย
๒.ปรารภวัย คือพิจารณาถึงอายุหรือวัยของตนเอง
แล้วเกิดความรังเกียจละอายว่า การกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควรนี้ หาควรแก่คนวัยนี้ไม่
๓.ปรารภความเข้มแข็ง
คือมองให้เห็นความจริงว่าการทำชั่วทำผิดนั้น ความจริงเป็นเรื่องของคนอ่อนแอ
ไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อเหตุการณ์ อารมณ์ หรือสิ่งยั่วยุต่างๆ ได้ คนมีความเข้มแข็งกล้าหาญอย่างเราจะต้องอดทนและบากบั่นแก้ปัญหาในทางที่ถูกที่ควรเท่านั้น
๔.ปรารภภูมิรู้หรือฐานะทางการศึกษา
เช่น คิดว่าการทำเรื่องที่น่าละอายเช่นนี้เป็นเรื่องของคนที่ไม่มีการศึกษา
ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ไม่คู่ควรกับคนมีการศึกษาอย่างเรา
เหตุทั้ง ๔ นี้
ถ้าระลึกถึงให้เห็นถ่องแท้แก่ใจจนเป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ของตนเอง
จะสามารถทำคนให้เป็นเทวดาได้ เพราะเป็นผู้ประเสริฐ
เว้นความชั่วและมีชีวิตที่เป็นสุขได้ในปัจจุบัน
โดยไม่ต้องรอให้ไปเกิดบนสวรรค์ที่ไหนเลย
ความเกรงกลัวต่อผลที่จะได้รับจากการทำชั่ว
ด้วยการนึกถึงโทษที่จะได้รับ ๓ อย่าง คือ
๑.โทษคือการติเตียนตนเอง
การตำหนิตนเองนั้น โดยความหมายก็คือความรู้สึกเป็นทุกข์หรือ
เสียใจในการกระทำที่ผ่านมา ในทางพระพุทธศาสนาเรียกวิปฏิสาร แปลว่าเดือดร้อนใจ
ในภาษาไทยมีคำพูดที่เรียกว่า ตราบาป คือเรื่องที่ให้ผลร้ายแก่จิตใจอันเกิดจากการทำชั่ว
การกระทำใดๆ ที่เป็นช่องทางให้ติเตียนตนเองได้
ก็คือการสร้างตราบาปให้ติดตัวตลอดไปนั่นเอง
๒.โทษคือการถูกผู้อื่นติเตียน
เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้
จะดีชั่วอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่น ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ความสามารถในการสู้หน้ากับคนอื่นได้อย่างเปิดเผยอาจหาญ ไม่สะดุ้งระแวง
หรือมีปมด้อย จึงเป็นต้นทุนที่สำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต
หากต้องคอยสะดุ้งผวาเกรงจะมีใครรู้ จะมีใครกล่าวโทษติเตียน
ก็เท่ากับสูญเสียความสุขและอิสรภาพที่สำคัญไป
๓.โทษของความชั่วโดยตรง
เพราะความชั่วนั้น ตนเองจะสำนึกได้หรือไม่ก็ตาม
ผู้อื่นจะรู้เห็นตำหนิติเตียนหรือไม่ก็ตาม
แต่โทษคือความเสียหายโดยตรงจากการกระทำนั้นก็มีอยู่จริงและต้องได้รับผลจริงอยู่อย่างนั้น
เช่น การทุจริต โหดร้าย หรือหมกมุ่นอบายมุข
เหล่านี้ล้วนมีผลร้ายอยู่ในตัวมันเองทั้งสิ้น การที่ผลร้ายเหล่านี้จะต้องมาเกิดแก่ชีวิตอันเป็นที่รักและหวงแหนของเราจึงเป็นเรื่องน่ากลัว
คนหนึ่งคน กลัวผลของความชั่ว
ชีวิตของเขาจะประเสริฐ มีความสุข ถ้าคนหมื่นคนแสนคนกลัวผลของความชั่ว
สังคมจะประเสริฐ มีความสุข และหากคนทุกคนมีความกลัวผลจากความชั่ว แผ่นดินจะเริ่มเปลี่ยนเป็นแดนสวรรค์ที่มีแต่ความรื่นรมย์
เพราะมนุษย์ต่างมุ่งเข้าหาความดี มีแต่ความดีให้กันและกันตลอดเวลาตลอดไป
............................................