คนเราเกิดมาไม่มีใครรู้ได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน
กี่เดือน หรือกี่ปี ในส่วนประโยชน์ตน การทำชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุขได้
จึงนับว่าคุ้มค่าที่สุด วิธีหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขก็คือ
ให้หัดคิดทางบวกไว้เสมอการคิดทางบวกนี้ก็คือ การคิดในแง่ดีนั่นเอง เช่น
คิดให้คนอื่นอยู่ดีมีสุข
เผื่อแผ่ความรักความเมตตาไปสู่สรรพสัตว์เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ
เมื่อมีสถานการณ์ที่คับขันหรือที่จะนำไปสู่ความเครียด ก็ไม่หงุดหงิด
หรือโวยวายกับสิ่งที่ไม่น่าชื่นชมนั้น แต่รู้จักคิดในอีกแง่หนึ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเกี่ยวข้องด้วย
เช่น เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกแล้วติดไปแดงเป็นคันแรกพอดี
แทนที่จะนึกโมโหว่าเกือบจะไปได้อยู่แล้วแต่ต้องมาเสียเวลาอยู่อีก ก็ให้นึกว่า
นี่ยังโชคดีนะที่ได้รอคิดเป็นคันแรกเลย
เดี๋ยวพอไฟเขียวเราก็จะได้ออกรถไปก่อนเป็นคันแรก เป็นคนโชคดีที่สุดในบรรดาผู้ติดไฟแดงอยู่ในขณะนี้
แต่ถ้าต้องติดอยู่ปลายแถวก็ให้คิดว่า คนที่มาถึงก่อนเราก็ยังไปไม่ได้
อีกไม่นานก็จะเป็นสัญญาณไฟเขียวเราก็จะไปได้
แต่คันที่รออยู่ต้นแถวต้องรอนานกว่าเรา เปลืองน้ำมันมากกว่าเรา
จากตัวอย่างการคิดข้างต้น
แม้ฟังดูเผินๆ จะดูเหมือนพูดเล่นๆ ไม่มีสาระ แต่ความจริงแฝงนัยสำคัญไว้ นั่นคือ
สรรพสิ่งย่อมมีหลายด้านหลายมุม และการเข้าไปสัมผัสยึดถือในแง่มุมที่ต่างกันนั้น
ก็ย่อมเกิดผลลัพธ์ที่ต่างกันได้ด้วย เมื่อเป็นดังนั้น
เหตุไรคนเราจึงไปสัมผัสยึดถือในมุมที่จะสร้างทุกข์ให้ตนเอง ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องความคิดของตนเองล้วนๆ
ไม่มีใครบังคับสั่งการได้ นี้เป็นการบ้านที่ผู้ต้องการความสุขในชีวิตควรนำไปคิด
ในทางสังคม คนที่ได้ฝึกตนเองให้
“คิดทางบวก” จนเป็นนิสัยนั้น จะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขันไม่หงุดหงิดง่าย
เป็นที่ชื่นชมของคนที่ได้คบค้าสมาคมด้วย ทำให้รู้สึกสบายใจเมื่อได้เข้าใกล้
แต่ถ้าเป็นคน “คิดทางลบ” อยู่ร่ำไป ก็จะกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย
ไม่มีใครอยากจะคบหาสมาคมด้วย นานวันเข้าก็อาจจะถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดาย
ไร้เพื่อนฝูง ต้องหงอยเหงาอยู่แต่เพียงลำพัง
มีคำพูดว่า
“คิดอย่างที่ต้องการคิด เป็นเสรีภาพอย่างเดียวของมนุษย์”
หากมนุษย์ใช้เสรีภาพทางความคิดนี้ไปในทางที่ดี ประกอบด้วยปัญญา
จนเป็นคุณแก่ตัวเองได้ ความสุขในชีวิตก็เป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก
............................................