พินาศเพราะกิเลส
มีเรื่องเล่าว่า
ชายสองคนเป็นสหายกัน พากันไปบวงสรวงเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์
ปรากฏว่าเทพเจ้าพอใจอนุญาตให้เขาทั้งสองขอสิ่งที่ปรารถนาได้โดยเสรี
โดยบอกว่าใครขอก่อนขอเท่าใดก็จะได้เท่านั้น
ส่วนคนที่ขอภายหลังจะได้สิ่งนั้นเหมือนกัน แต่ได้มากเป็นสองเท่า
สหายทั้งสองต่างดูเชิงกันอยู่พักใหญ่ เพราะเกี่ยงกันว่า
คนขอก่อนจะได้เพียงส่วนเดียว ส่วนคนขอทีหลังจะได้มากถึงสองส่วน
ในที่สุดคนแรกก็ตัดสินใจขอพรจากเทพเจ้าก่อน แต่แทนที่จะขอทรัพย์สินเงินทอง
กลับขอให้ดวงตาของตนบอดไปข้างหนึ่ง ด้วยหวังว่าเพื่อนที่ขอที่หลังจะได้ตาบอดทั้งสองข้าง
ผลก็คือตาของตัวองบอดไปข้างหนึ่งจริงๆ ส่วนคนที่สองเข้าใจว่า
คนแรกจะขอทรัพย์สินเงินทองเป็นแน่ และเทพเจ้าก็คงจะประทานความร่ำรวยให้
ในเมื่อตนขอภายหลังก็จะต้องร่ำรวยกว่าคนแรกถึงสองเท่าอย่างแน่นอน คิดดังนั้น
เขาจึงได้ขอพรเช่นเดียวกับที่คนแรกขอไว้ ในที่สุดดวงตาของเขาก็บอดสนิททั้งสองข้าง
เรื่องนี้
เมื่อมองในแง่หลักธรรมพบว่า คนแรกมีจิตริษยาคนอื่น ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนรักกัน
จิตประเภทนี้จะคอยคิดในทางตัดรอนหรือทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น
เห็นใครได้ดีกว่าแล้วทนไม่ได้ ส่วนคนที่สองมีลักษณะละโมบจัด เห็นแก่ได้เป็นหลัก
ไม่มีความคิดเรื่องการเสียสละอยู่ในใจ
เมื่อคนทั้งสองมาคบกันผลสุดท้ายก็พินาศทั้งสองฝ่าย
พระพุทธศาสนาสอนว่า
จิตที่มีลักษณะริษยาและโลภจัดนั้น เป็นเหมือนสนิมที่คอยกันกินจิตใจให้เสื่อมทราม
ดุจสนิมที่กัดกินเหล็กให้ผุกร่อน คนมีปัญญาจึงหมั่นกำจัดสนิมดังกล่าวออกจากจิตใจตนเอง
และวิธีที่ทำได้ง่ายๆ ก็คือ
หัดชื่นชมยินดีในความสำเร็จของผู้อื่นและเสียสละประโยชน์ส่วนตนดูบ้าง หากทำได้
นอกจากจะป้องกันมิให้ความพินาศเกิดขึ้นได้แล้ว
ยังจะช่วยส่งเสริมให้จิตใจเยือกเย็นอิ่มเอิบ มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย
............................................