วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

เมตตาธรรม สัมมาคารวะ

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
                ในปัจจุบัน สังคมเรามีความเจริญทางวัตถุมากมาย และมนุษย์ก็พยายามนำความเจริญด้านวัตถุเหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือสร้างสันติสุข โดยหวังว่าสักวันหนึ่งมนุษย์จะเกิดสันติสุขและสันติภาพ แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า สังคมระดับต่าง ๆ ก็ยังขาดสันติสุข เพราะในใจของมนุษย์มีความเห็นแก่ตัว ขาดการเห็นอกเห็นใจกัน มีการประหัตประหารกัน เบียดเบียนกันอยู่เสมอ ซึ่งนับวันจะรุนแรงและหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ถึงแม้องค์กรต่าง ๆ ทั้งระดับชาติและระดับโลกจะได้สรรหามาตรการและวิธีการต่าง ๆ มาแก้ไขก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
                ในทางพระพุทธศาสนามองว่า ความสุขและสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ จะต้องพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรม โดยเฉพาะเมตตาธรรม คือ ความรักใคร่ ความเอื้ออาทรระหว่างกัน โดยใช้เมตตาธรรมขจัดความชั่วร้ายภายใน ๔ อย่าง ให้หมดไป คือ
                ๑. โทสะ ได้แก่ ความไม่พอใจในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ตั้งความหวังไว้แล้วไม่ได้สมหวัง จึงเกิดความไม่พอใจ
                ๒. มานะ ได้แก่ ความถือตัว โดยเฉพาะสำคัญตนผิดว่า ตนเองสูงกว่าคนอื่น มีอำนาจกว่าคนอื่น
                ๓. ริษยา ได้แก่ ความไม่อยากให้ผู้อื่นได้ดี เห็นคนอื่นได้ดีแล้วมีทุกข์ หรือเห็นคนอื่นตกทุกข์แล้วดีใจ
                ๔. มัจฉริยะ ได้แก่ ความตระหนี่ มีอารมณ์หวงแหน ไม่อยากเสีย มีใจคอคับแคบ เห็นแก่ตัว
                มีคำพระกล่าวยืนยันไว้ว่า โลโกปัตถัมภิกา เมตตา เมตตาเป็นธรรมค้ำจุนโลก ฉะนั้น ควรสร้างเมตตาธรรมให้มีไว้โดยเร็ว เพื่อความสงบร่มเย็นและน่าอยู่ในโลกที่จะบังเกิดขึ้น

............................................

สัมมาคารวะ
                สังคมไทยและวัฒนธรรมไทยแต่โบราณ มักอบรมสั่งสอนให้บุตรหลานรู้จักเคารพผู้อาวุโสกว่าตน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางกายหรือทางใจไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม และทั้งสองอย่างนี้จะต้องสอดคล้องกันเสมอ การแสดงออกที่ว่านี้เรียกว่า “ความมีสัมมาคารวะ” ความมีสัมมาคารวะนั้นเป็นเสน่ห์ที่สร้างความนิยมและประทับใจแก่ผู้ปฏิบัติและผู้พบเห็น สร้างความรู้สึกผูกพันระหว่างผู้ได้รับการแสดงความเคารพและผู้แสดงความเคารพ อนึ่ง การแสดงความอ่อนน้อมต่อกันและกัน เป็นการให้เกียรติและสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้อื่นไว้ได้ รวมทั้งวัฒนธรรมอันดีงามของไทยอีกด้วย
                ปัจจุบันความมีสัมมาคารวะในสังคมไทยกำลังลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ เป็นเรื่องน่ากังวลว่า เมื่อใดก็ตามที่ลูกไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ศิษย์ไม่เคารพครูอาจารย์ มิตรไม่นับถือมิตร ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เคารพผู้บังคับบัญชา เมื่อนั้นสังคมไทยจะไร้อารยธรรม คนจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่เคารพกัน เต็มไปด้วยความหมางเมินและ ไร้ระเบียบวินัยต่อกัน การแสดงออกก็ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกสำนึกที่ดีอย่างแท้จริง ทำไปอย่างเสียไม่ได้ ทำเพียงเพื่อมารยาทหรือสักแต่ว่าทำเท่านั้น
                ดังนั้นหากไม่ต้องการให้ “สัมมาคารวะ” เลือนหายไปจากสังคม ต้องรีบปลูกฝังกันตั้งแต่วันนี้ เริ่มที่ผู้ใหญ่ ปฏิบัติต่อกันเป็นแบบอย่างที่ดีเสียก่อน หากเด็กได้เห็นตัวอย่างที่ดีก็จะสร้างความเคยชินและทำอย่างนั้นบ้าง
                ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างความมีสัมมาคารวะให้เป็นบรรทัดฐานของการปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความเอื้ออาทรและความเข้าใจกัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญของไทย
............................................