การถือล่างถือบน
ถือฤกษ์ถือยาม เช่น นิยมยึดถือกันว่า ศีรษะเป็นของสูง ส่วนเท้าเป็นของต่ำ ดังนั้น
การก้มศีรษะให้แก่ใคร ก็เท่ากับเป็นการทำความเคารพ แม้การกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์
ก็ต้องให้ศีรษะจรดพื้นเป็นส่วนที่ห้า การลูบหัว เล่นหัวนั้น ถ้าไม่เป็นที่เคารพรักใคร่กันจริงๆ
แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้
ส่วนเท้าที่ถือว่าเป็นของต่ำนั้นจำเป็นที่จะต้องสำรวมระวังอย่างยิ่งในการเหยียดย่างหรือยก
หากไม่สำรวมระวังอาจส่อเป็นการแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมได้ อย่างไรก็ตาม
ถ้าเท้าไม่ทำหน้าที่หรือไม่สามารถทำหน้าที่ได้แล้ว
ศีรษะเป็นของสูงก็ไม่อาจทำหน้าที่ได้เช่นกัน
รอบๆ
ตัวเรานั้น มีบุคคลหลายระดับทั้งสูงและต่ำ อาจแบ่งได้เป็น ๖ จำพวก ตามทิศทั้ง ๖
คือ
๑.
ปุรัตถิมทิศ ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ บิดามารดา
๒.
ทักขิณทิศ ทิศเบื้องขวา ได้แก่ ครูอาจารย์
๓.
ปัจฉิมทิศ ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตร สามมี/ภรรยา
๔.
อุตตรทิศ ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย
๕.
เหฏฐิมทิศ ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ คนรับใช้ และคนงาน
๖.
อุปริมทิศ ทิศเบื้องบน ได้แก่ นักบวช
จะเห็นได้ว่า
คนรับใช้และคนงาน ถูกจัดอยู่ในทิศเบื้องล่าง หรือบุคคลระดับล่าง สังคมจะไม่ให้ความสำคัญเท่าใดนัก
แต่ในความจริงแล้ว ถ้าไม่มีเบื้องล่าง เบื้องบนก็มีไม่ได้ เหมือนเจดีย์
มียอดได้ก็ต้องมีฐาน ถ้าเบื้องล่างมีปัญหาก็จะกระทบกระเทือนเบื้องบนด้วย เหตุนี้
ทางพระพุทธศาสนามีหลักปฏิบัติสำหรับบำรุงดูแลบุคคลระดับล่างไว้ ๕ ประการ คือ ๑.
จัดงานให้เหมาะกับคน ๒.ให้ค่าจ้างรางวังที่เหมาะสม ๓. จัดสวัสดิการดี
๔.มีน้ำใจแบ่งปันสิ่งดีๆ ๕.ให้มีวันหยุดพักผ่อน สันทนการตามควร
ด้วยหลักปฏิบัติทั้ง
๕ ประการ จะทำให้เบื้องล่างมั่นคง เบื้องบนดำรงมั่น สังคมเกิดภาวะสมดุลสอดคล้อง
สงบสุข และยั่งยืนได้สืบต่อไป
....................................