“หวานเป็นลม
ขมเป็นยา” คำกล่าวนี้เป็นการเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เราไม่ชอบ
เรามักจะรู้สึกว่าขมขื่นกลืนกินยาก แต่เมื่อกลืนเข้าไปแล้ว
ที่ว่าขมนั้นจะเป็นยาแก้โรคได้ ในทางตรงกันข้ามสิ่งที่เราชอบเราจะรู้สึกว่าเอร็ดอร่อย
เมื่อกลืนกินผ่านลำคอเข้าไปแล้วก็เท่านั้นเอง คือผ่านเลยไปทำให้รู้สึกว่าสบาย
แต่หลังจากนั้นอาจจะมีโทษภัยติดตามมา เปรียบเสมือนการดำเนินชีวิตของบุคคลเรา
ถ้าหากเราทำตัวตามสบายจนเกินไป ก็จะเกิดผลเสียไม่ได้อะไรเลย
กาลเวลาก็ล่วงเลยไปเปล่าๆ จะแก่ก็แก่ไปดังมีคำกล่าวที่ว่า แก่เพราะกินข้าว
เฒ่าเพราะอยู่นาน นั่นเอง
“หวานเป็นลม
ขมเป็นยา” สามารถนำมาใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี
ในเบื้องต้นของชีวิต ถ้าบุคคลทำตัวสบาย มักง่าย เกียจคร้าน หนักไม่เอาเบาไม่สู้
ในเบื้องปลายของชีวิตย่อมจะประสบความล้มเหลว ตรงกับ “หวานเป็นลม”
แต่ถ้าในเบื้องต้นของชีวิต บุคคลมีความขยันหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้
บังคับฝืนใจตนเองให้กระทำหน้าที่การงาน ดุจฝืนใจตนเองดื่มยาขมหม้อใหญ่
ในเบื้องปลายชีวิตก็ย่อมจะประสบความสำเร็จเสมอ ตรงกับ “ขมเป็นยา”
ดังนั้น
บุคคลผู้อยากได้ดีมีความสำเร็จสมหวังในชีวิตและหน้าที่การงาน จึงควรฝืนใจดื่ม
ยาขมหม้อใหญ่ ด้วยการทำอะไรให้ทำจริงๆ
หวานเป็นลม
ขมเป็นยา ท่านว่าไว้ เตือนจิตให้ หวนคิด
ปริศนา
ความเกียจคร้าน
ในการกิจนานา ย่อมจะพา
ให้ทนทุกข์ หมดสุขใจ
ความขยัน
บากบั่น ในการกิจ ย่อมสัมฤทธิ์
ทุกสิ่งสรรพ์ ดังขานไข
ทำอะไร
ให้ฟันฝ่า อย่าทิ้งไป ดุจยาขม
หม้อใหญ่ ให้ดื่มกิน
....................................