วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

ไฟอาฆาต


                ในอดีตกาล ชายคนหนึ่งมีภรรยาแต่เป็นหมัน จึงหาภรรยามาอีกคนหนึ่งตามคำยินยอมของภรรยาคนแรก เมื่อภรรยาคนที่สองกำลังตั้งครรภ์ ภรรยาคนแรกเกิดความคิดริษยาจึงพยายามหาโอกาสปรุงยาขับเลือดใส่ในอาหารให้ภรรยาคนที่สองกินจนแท้งลูกไปหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายภรรยาคนที่สองพร้อมด้วยลูกในท้องได้ถึงแก่ความตาย ก่อนตายเธอได้ผูกอาฆาตว่า “ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราสามารถกินนางเมียหลวงพร้อมลูกของมัน ปรากฏว่าคู่เวรคู่กรรมนี้เกิดมากี่ชาติก็ตามล้างผลาญกันอยู่ทุกชาติ เช่น ฝ่ายหนึ่งเกิดเป็นไก่ อีกฝ่ายหนึ่งก็เกิดเป็นแมวไปกินไก่ ฝ่ายหนึ่งเกิดเป็นเนื้อ อีกฝ่ายหนึ่งก็เกิดเป็นเสือไปฆ่าเนื้อ เป็นต้น แม้เกิดมาเป็นคนก็ยังจองเวรกันไม่เลิก จนเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดจึงดับไฟอาฆาตกลับเป็นไมตรีต่อกันได้
                จากเรื่องดังกล่าวมีแง่คิดที่ว่า สิ่งที่ชาวโลกเรียกว่า ไฟ นั้น แบ่งออกเป็นสองชนิด คือ
                ๑.ไฟภายนอก ได้แก่ ไฟที่สามารถมองเห็น ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้หรือไฟที่เกิดจากกระแสงไฟฟ้า ไฟเหล่านี้มีคุณอนันต์สำหรับคนที่รู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น ใช้หุงหาอาหาร ใช้ส่องสว่าง เป็นต้น แต่ก็มีโทษอย่างมหันต์เช่นกันหากไม่คุมให้ดี
                ๒.ไฟภายใน ได้แก่ ไฟที่ไม่สามารถมองเห็นตัวตน แต่มีอานุภาพทำให้ผู้ที่ถูกไฟประเภทนี้เผา จะมีอาการเหี่ยวแห้ง กลัดกลุ้ม รุ่มร้อน ปรากฏขึ้นในใจ ไฟภายในเหล่านี้ได้แก่ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ซึ่งจะผสมผสานกลั่นตัวออกมาเป็นไฟอีกหลายดวง เช่น ไฟริษยา และไฟอาฆาต เป็นต้น
                ธรรมชาติของไฟ ไม่ว่าจะเป็นไฟชนิดไหนก็ตาม จะมีลักษณะร้อน เผาไหม้ ทำลายล้าง ถ้าเป็นไฟภายนอกก็จะเผาไหม้จนกว่าเชื้อไฟจะหมดไป หรือถูกบังคับให้ดับไป ถ้าจะกล่าวถึงการทำลายล้างแม้จะรุนแรงขนาดไหนก็ยังสามารถจำกัดเขตได้ และไม่ได้ไหม้กันพร่ำเพรื่อไป แต่ถ้าเป็นไฟภายในจะมีอานุภาพที่น่ากลัวกว่าหลายเท่า เพราะเกิดง่ายดับยาก ไหม้โดยไม่มีเขตจำกัด ไหม้ได้ทุกเวลา เกิดแล้วตายแล้วเกิดใหม่ก็ยังสามารถตามไปเผาไหม้ได้ทุกชาติ ดังนั้น ผู้หวังความสวัสดีแก่ตน จึงควรรีบดับไฟภายใน ด้วยน้ำคือขันติและเมตตา โดยถือคติว่า “เมตตาต่อทุกคน อดทนให้ถึงที่สุด แต่ถ้ายังไม่หยุดก็ให้ลดน้อยลง”

............................................