ในการปลูกอาคารบ้านเรือน
หรือตึกชั้นสูงๆ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ บันไดขึ้น-ลง
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าไปมาก
การก่อสร้างอาคารหรือตึกชั้นสูงๆ
มักจะติดลิฟต์เพื่อความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลาในการขึ้น-ลงก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยอันตราย
เช่น ถ้าไฟดับลิฟต์ค้างต้องติดอยู่ข้างใน ดีไม่ดีอาจถึงตายได้
เมื่อบันไดมีไว้สำหรับขึ้น-ลง ผู้ใช้บันไดก็ต้องมีความระมัดระวังในการใช้
คือถ้าเดินไม่ระมัดระวังมัวแต่ไปมองทางอื่นก็อาจจะสะดุดบันได้ทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือตกบันได
บางคนเกิดคึกคะนองแทนที่จะขึ้น-ลงทีละขั้น แต่กลับก้าวกระโดดข้ามขั้น
จึงมีโอกาสถึงที่หมายได้เร็วเท่าๆ กับมีโอกาสตกบันไดได้ง่ายด้วย
ในการดำเนินชีวิตของคนเราก็เหมือนกันการก้าวขึ้นสู่บันได
พระพุทธศาสนาได้แบ่งชีวิตของคนออกเป็นสามขั้น สามวัยด้วยกันคือ
๑.ปฐมวัย
กำหนดช่วงอายุตั้งแต่ ๑-๒๕ ปี เป็นวัยที่เน้นหนักไปในการแสวงหาวิชาความรู้
เพื่อเป็นหลักประกันในการประกอบอาชีพ ทำงานเลี้ยงชีวิต
๒.
มัชฌิมวัย กำหนดช่วงอายุตั้งแต่ ๒๖-๕๐ ปี
เป็นวัยที่เน้นหนักไปในการทำงานตั้งเนื้อตั้งตัวสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ชีวิต
เพื่อเป็นหลักประกันในยามชรา
๓.ปัจฉิมวัย
กำหนดช่วงอายุตั้งแต่ ๕๑-๑๐๐ ปี เป็นวัยที่เน้นหนักไปในการทำบุญทำกุศล
สร้างคุณงามความดี เพื่อเป็นหลักประกันในสัมปรายภพ
ถ้าเราปฏิบัติหน้าที่ของชีวิตแต่ละวัยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในทางพระพุทธศาสนา
ไปข้ามขั้นหรือผิดขั้น เช่น ปฐมวัยไปเน้นหนักการทำงานแทนที่จะตั้งหน้าเรียนรู้
หาวิชา หรือปัจฉิมวัยร่างกายและสมองอ่อนล้าแล้ว
แต่กลับไปมุ่งเรียนวิชาแทนที่จะตั้งใจสร้างบุญสร้างกุศล
โอกาสที่จะพลัดตกบันไดชีวิตก็มีมาก
แต่ทั้งหมดก็มิได้หมายความว่าห้ามทำหน้าที่ผิดวัยไปเสียทั้งหมด กล่าวคือ ปฐมวัยจะทำบุญกุศลก็ได้
แต่การแสวงหาวิชาความรู้ต้องเป็นหลัก
มัชฌิมวัยจะเรียนวิชาก็ได้แต่การทำงานตั้งตัวต้องเป็นหลัก
ถ้าเราดำเนินชีวิตถูกต้องตามขั้นตอนดังกล่าว
ก็มั่นใจได้ว่า ชีวิตแต่ละวัยจะมีหลักประกันที่มั่นคง
เหมือนการเดินขึ้นบันได้ด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
............................................