ธรรมชาติของคนที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ
ไม่ชอบให้ใครมาขอและตนเองก็ไม่ชอบขอใคร คนเราส่วนใหญ่ต้องการรับ ไม่ต้องการให้
หากมีใครมาขอจะหงุดหงิดรำคาญใจ รู้สึกว่านั่นหมายถึงการสูญเสีย
หรือบางคราวก็ให้ด้วยความจำใจแบบเสียไม่ได้ โดยปกติคนเราหากไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรือจำเป็นจริงๆ
ก็จะไม่ขอใคร นั่นเป็นเพราะความละอาย กลัวผู้ถูกขอจะนึกตำหนิต่างๆ นานา
อาจถูกว่ายากจนบ้างล่ะ ยากจนมากหรือ ไม่มีปัญญาหาเลี้ยงชีพแล้วหรือ อะไรประมาณนี้
จึงมีคำสอนเตือนใจเกี่ยวกับการขอไว้ว่า “จะยากจนเพียงใดก็ไม่ขอใครกิน
หรืออดอย่าเสือดีกว่าอิ่มอย่างสุนัข ผู้ขอย่อมไม่เป็นที่พอใจของผู้ถูกขอ”
แต่มีการขอชนิดหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม
ไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย และไม่เป็นเครื่องหมายของความยากจน คือการขออภัย
การให้ที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองสิ่งใด ก็คือการให้อภัย
การขออภัย
เป็นการสำนึกในความผิดพลาดของตนที่ได้พลาดพลั้งไปแล้ว การให้อภัย
เป็นการรับรู้ความผิดของผู้อื่นแล้วไม่ถือโทษ
ผู้ที่อยู่ร่วมกันก็ต้องมีความพลาดพลั้งล่วงเกินกันบ้างเป็นธรรมดา
แต่เมื่อพลาดพลั้งไปแล้วก็ไม่ควรจะละเลยหรือถือเป็นเรื่องเล็กน้อย
ควรรีบขออภัยหรือขอโทษทันที ส่วนผู้ถูกล่วงเกินก็เช่นเดียวกัน เมื่อรับการขออภัยหรือขอโทษแล้ว
ก็ไม่ควรจะผูกโกรธ
การให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกันแสดงถึงความเป็นผู้มีจิตใจสูง ประกอบด้วยเมตตา
เป็นสุภาพชน
นอกจากนี้
การให้อภัยนั้น ยังถือเป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง เรียกว่า อภัยทาน
พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่า เป็นทานอย่างสูง เพราะเป็นการให้ที่ชำระใจให้บริสุทธิ์
ปราศจากความพยาบาทจองเวร เป็นอโหสิกรรม คือไม่มีเวรภัยต่อกันและกัน
ให้ยุติลงแค่นั้น
ฉะนั้นการขออภัยและการให้อภัยนี้จึงเป็นคุณธรรมที่ควรปฏิบัติสำหรับทุกๆ คน
........................................