วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สมานรัก


                กล่าวกันว่า พึ่งเห็นพึ่งรัก น้ำต้มผักยังว่าหวาน ครั้นนานนานน้ำอ้อยก็ค่อยขม คิดว่าเรื่องทำนองนี้ ท่านคงเคยประสบมาด้วยตัวเองบ้างแล้ว เรื่องของความรักความใคร่นั้น เป็นไปได้ทั้งในทางบวกและทางลบ โดยเฉพาะรักต่างเพศหรือเพศเดียวกัน ส่วนมากจะเริ่มต้นด้วยความหวานชื่น แต่พอครั้นนานเข้าก็จืดชืด และเปลี่ยนเป็นขม สุดท้ายลงเอยด้วยทุกข์และน้ำตา ความรักของคนทั่วไปก็มักเป็นเช่นนี้ ด้วยเพราะรักนั้นไม่บริสุทธิ์ มีความชัง ความริษยา อาฆาต ปะปนมาด้วย เหมือนน้ำผึ้งเจือยาพิษ เริ่มต้นด้วยรสหวานแล้วก็จบลงด้วยความตาย
                ในทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงความรักไว้ ๒ ประเภท คือ
                ๑. รักแท้ ได้แก่ ความรักบริสุทธิ์ใจ รักที่มีแต่ให้ เสียสละ ไม่หวังผลตอบแทน ยอมทุกข์แทนคนรักได้ เช่น ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก รักนี้คือ เมตตาและกรุณา อยากให้เป็นสุขและคิดช่วยให้พ้นทุกข์
                ๒. รักไม่แท้ ได้แก่ ความรักไม่บริสุทธิ์ใจ รักประเภทนี้เจือปนด้วยกิเลส ตัณหา มีกามคุณห้า คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เป็นที่เกิด มีเสน่หาเป็นเยื่อใย ครั้นสิ่งที่น่ารักเปลี่ยนแปลงกลับกลายเป็นน่าชังไป เสน่ห์ก็หมดความรักก็จืดจาง สิ่งร้ายๆ ที่ปะปนแฝงอยู่ก็แสดงออก จากรักจึงกลับมาร้าย สุดท้ายก็ต้องเลิกร้างหมางเมินกันไปเหลือไว้แต่ความทุกข์โศกเสียใจ
                รักไม่แท้ คือต้นตอแห่งปัญหาครอบครัว ถึงขั้นบ้านแตก ครั้นจะหารักแท้ในทางโลกีย์ก็ยากนักมีทางเดียวที่จะประคับประคองชีวิตคู่ให้คงเส้น คงวาไปได้ตลอดรอดฝั่ง คือต้องผสมผสานรักแท้เข้าไว้ด้วย อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของรักไม่แท้ที่เป็นอยู่ ก็พอจะทุกข์ๆ สุขๆ อยู่ต่อไปได้
                เมตตาและกรุณา เป็นตัวประสานหรือสมานรักไว้ เหมือนกอบัวในสระน้ำ ลำพังโคลนตมเพียงอย่างเดียวยังไม่พอต้องอาศัยน้ำด้วย บัวจึงจะงอกงามออกดอกอยู่ได้ ฉันใด ความรักของมนุษย์ แม้จะเจือด้วยทุกข์ แต่ถ้ามีรักแท้ คือเมตตาและกรุณา ผสมผสานอยู่ด้วยแล้ว ก็จะงอกงามอยู่ได้ ฉันนั้น

........................................