ปัจจุบันคนไทยยังมีพื้นฐานความเชื่อเรื่องฤกษ์ยามอย่างเหนียวแน่น
เช่น เวลาจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน เปิดอาคารร้านค้า
หรือแม้แต่จะบวชก็ต้องพึ่งพาฤกษ์ยามอยู่เสมอ เพราะมีความเชื่อว่า
หากทำพิธีตรงกับฤกษ์หรือยามดี ก็จะเกิดมงคลแก่ชีวิตและกิจการนั้นๆ มีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ
การถือฤกษ์ยามน่าจะไม่มีปัญหาอะไร หากคิดว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีให้กับชีวิต
แต่จะเป็นปัญหา
ถ้าเอาความหวังไปฝากไว้กับฤกษ์ยามให้เป็นตัวกำหนดชีวิตแทนที่ตนเองจะเป็นผู้กำหนด
พระพุทธศาสนาถือว่าชีวิตจะดีหรือไม่ดี
จะเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤกษ์ยามหรือดวงดาวหากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละบุคคล
ใครทำดีทำถูกต้องเวลาใด ความเป็นมงคลก็เกิดขึ้นกับคนนั้นเวลานั้น
ในเรื่องนี้พระรัตนปัญญาเถระ นักปราชญ์ชาวล้านนาในอดีตได้สรุปคาถาไว้ ๔ คำ
ในหนังสือชื่อ วชิรสารัตถสังคหะ
สำหรับทำชีวิตให้เป็นมงคล เรียกว่า คาถากาสลัก คือ จะ ภะ กะ สะ มาจากคำเต็มว่า
-
จะชะ ทุชชะนะสังสัคคัง แปลว่า
หลีกเลี่ยงจากการคบทรชนคนพาล
-ภะชะ
สาธุสะมาคะมัง แปลว่า
ให้สมาคมคบหาคนดีหรือสังสรรค์บัณฑิต
-
กะระ ปุญญะมะโหรัตตัง แปลว่า
จงทำความดีทุกวันทุกคืนหรือทำดีเป็นนิตย์
-
สะระ นิจจะมะนิจจะตัง แปลว่าคิดถึงอนิจจังคือความเปลี่ยนแปลงไว้เสมอ
ความเป็นมงคลของชีวิตนั้น
จะเกิดขึ้นก็เพราะการรู้จักฉลาดทำและรู้จักเลือกใช้ชีวิตให้ดี ดังเช่นมงคลคาถา ๔
ข้อข้างต้น ถือว่าเป็นหลักการในการดำเนินชีวิตให้เป็นมงคลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาฤกษ์ยาม
และเป็นอันหวังได้อย่าง แน่นอนว่า ชีวิตจะมีแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้า
มีหลักจำง่ายๆ
และควรท่องจำให้ขึ้นใจว่า จะ หลีกเลี่ยงคนพาล ภะ สังสรรค์บัณฑิต กะ ทำดีเป็นนิตย์
สะ คิดถึงอนิจจัง และโปรดระลึกไว้ว่า
ควรสร้างความดีศรีชีวิต ทำ พูด คิดสิ่งใดใฝ่กุศล
นี้แหละคือทางตรงเป็นมงคล ทั่วสากลดีหรือชั่วเพราะตัวทำ
.............................................