มีศาลาใหญ่หลังหนึ่ง
มีประตูเข้าออกได้เพียง ๒ ประตู คือ ชาติทวารและมรณทวาร
บนเพดานของศาลาประดับด้วยโคมไฟใหญ่ ๒ ดวง ชื่อ ตาวัน ดวงหนึ่ง และ ตาคืน
อีกดวงหนึ่ง นอกจากนี้ ก็มีโคมเล็กประดับที่เพดานอีกนับไม่ถ้วน
ศาลาหลังนี้เป็นศาลาที่ใหญ่ที่สุด ภายในมีสิ่งของสารพัด
ใครอยากได้อะไรก็สามารถไขว่คว้าหาเอาได้
แต่ผู้ที่จะเข้าไปภายในศาลาต้องเข้าทางประตูชาติทวาร
และเวลาจะออกก็ต้องออกทางประตูที่ชื่อมรณทวารเท่านั้น อย่างไรก็ตาม
ในศาลาหลังนี้มีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่งใครก็ตามจะละเมิดมิได้ นั่นก็คือ เมื่อได้เข้าพักในศาลานี้จะกอบโกยเอาข้าวของสมบัติพัสถานไว้เท่าไรก็ได้
แต่เวลาจะออกจากศาลาหลังนี้ไป จะนำสิ่งของอะไรติดตัวไปแม้แต่นิดเดียวไม่ได้เด็ดขาด
ต้องไปแต่ตัวเท่านั้น
ศาลาหลังนี้ ก็คือโลกมนุษย์นี้เอง
โลกมนุษย์ที่เราทุกคนต้องเข้ามาทางประตู คือการเกิด และออกไปทางประตู คือความตาย
มีแสงสว่างจากกลางวันและกลางคืน
เป็นที่ประชุมทรัพย์สินเงินทองและผลประโยชน์ที่แล้วแต่ใครจะสามารถไขว่คว้าไว้ได้
แต่เมื่อตายไม่สามารถนำติดตัวไปได้สักอย่าง
การคิดว่าโลกนี้เป็นเพียงที่พักชั่วคราว
เป็นทั้งที่พบและที่จาก เป็นทั้งที่ได้และที่เสีย จะช่วยฝึกใจให้มองเห็น ความจริง
รู้จักโลกและชีวิตดีขึ้น นำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมใน ๓ ด้าน คือ
๑.ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น
เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นสาระแก่นสารได้จริง นอกจากความดี
๒.ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ดีขึ้น
เพราะมองไม่เห็นว่าจะเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบไปเพื่ออะไร
สู้อยู่กันด้วยไมตรีเห็นอกเห็นใจกันจะเป็นสุขกว่า
๓.ปฏิบัติต่อจิตใจได้ถูกต้องขึ้น
เพราะบรรเทาความยึดมั่นถือมั่นลงได้ ไม่ว่าได้มาหรือเสียไป
ก็จะไม่เป็นทุกข์เกินเหตุ เพราะรู้เท่าทันความจริงของชีวิต
หากทบทวนด้วยปัญญาถึงการปฏิบัติหน้าที่
การปฏิบัติต่อผู้อื่น และการปฏิบัติต่อจิตใจของตนเสียแต่บัดนี้ก็จะได้ประโยชน์
อย่างน้อยชีวิตก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์ ตราบเท่าที่ยังนั่งอยู่ในมหาศาลาแห่งนี้
............................................