ในที่ประชุมของราชสำนักแห่งหนึ่ง
มีการพิจารณาความเดือดร้อนของชาวเมืองตามที่เชื่อว่าเกิดขึ้นเพราะตัวอุบาทว์
แต่ก็พบทางตันตรงที่ไม่มีใครรู้ว่าตัวอุบาทว์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร พระราชาจึงโปรดให้ทหารผู้หนึ่งไปหาตัวอุบาทว์มาให้ได้ภายในเจ็ดวัน
ทหารผู้นั้นพยายามเสาะหาจนได้มาพบกับฤๅษีตนหนึ่ง และได้บอกความประสงค์ให้กับฤๅษีฟัง
ฤๅษีจึงได้เอาสิ่งของสิ่งหนึ่งใส่ลงไปในกระบอกไม้ไผ่พร้อมกับปิดไว้อย่างแน่นหนา
มอบให้และกำชับว่านี่คือตัวอุบาทว์ ฤทธิ์เดชของมันร้ายกาจยิ่งนัก
เมื่อเปิดดูต่อหน้าพระที่นั่งก็ให้ส่องดูในกระบอกนี้เท่านั้น ห้ามเทออกมาเด็ดขาด
เมื่อทหารผู้นั้นนำตัวอุบาทว์ในกระบอกไม้ไผ่มาถึงราชสำนัก
การพิสูจน์ทราบก็เริ่มขึ้น อำมาตย์คนแรกเปิดออกและส่องดูก่อน แต่การมองเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่นั้นเป็นเรื่องอยากที่จะให้เห็นได้ชัดเจน
จึงทำให้อำมาตย์คนแรกบอกว่าตัวอุบาทว์นี้เหมือนลูกเขียด คนที่สองรับไปดูบ้างส่องไปส่องมาหามุมที่ว่าชัดที่สุด
แล้วบอกว่าไม่เหมือนลูกเขียด แต่เหมือนอึ่งอ่างมากที่สุด คนที่สาม ที่สี่
และคนต่อๆ ไป พอรับไปดูก็ทำเช่นกันและก็เห็นกันไปคนละอย่าง แตกต่างกันและต่างก็ยืนยันแข็งขันตามที่ตนเห็น
จึงเกิดความขัดแย้งอยู่อื้ออึง พวกที่เถียงสู้ไม่ได้ถึงกับบันดาลโทสะ
ในที่สุดก็ลุกขึ้นวางมวยชกต่อยกันเป็นโกลาหน
พระราชาจึงทรงระงับเหตุด้วยการรับสั่งให้ผ่ากระบอกไม้ไผ่ออกมาดูเดี๋ยวนั้น
และพบว่าเป็นแค่ชานหมาก จึงทำให้อำมาตย์ทุกคนคิดได้และเห็นตรงกันว่า ตัวอุบาทว์นั้น
แท้ที่จริงก็คือ ความคิดเห็นที่ยึดมั่นชนิดไม่มีใครยอมใครนั่นเอง
การมีความคิดเห็นเป็นของตนเอง
ย่อมเป็นสิ่งที่ดี
แต่ต้องคู่ไปกับการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นยิ่งเป็นความเห็นหรือเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่
ยิ่งต้องให้ความสำคัญเพราะผิดพลาดได้น้อยกว่า หลายๆ
คนที่คิดได้จึงถือเอาส่วนรวมเป็นมาตรฐานตรวจสอบตนเอง
เมื่อส่วนรวมเห็นว่าดีมีประโยชน์ แม้ส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ยอมรับ
ไม่ยึดมั่นในความเห็นของตนแต่ถ่ายเดียว เพราะการยึดมั่นถือมั่น
ถึงจะไม่เกิดความรุนแรงมากมาย แต่ก็เป็นทุกข์แก่ผู้ที่ยึดติดนั่นเอง ไม่เว้นแม้แต่การยึดมั่นถือมั่นในการทำความดี
ก็อาจเป็นทุกข์ได้เช่นกัน
............................................