ความพอดี
หมายถึง ความลงตัว ความพอเหมาะพอสม ความเป็นเหตุเป็นผลในตัวเอง
การที่ดวงอาทิตย์ส่องในเวลากลางวัน
พระจันทร์สุกสว่างในเวลากลางคืน ดาวนับล้านๆ ดวงล่องลอยอยู่ในท้องฟ้า
โลกหมุนรอบตัวเอง พร้อมกับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สมดุล
นี้คือความพอดีทางธรรมชาติ เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ทุกชีวิตบนโลก
การที่สัตว์ขั้วโลกเหนือมีขนหนาไว้กันหนาว สีขาวกลมกลืนกับหิมะ
ในขณะที่สัตว์เขตร้อนมีขนน้อย สีสันฉูดฉาดกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม
ก็ถือเป็นความพอดีซึ่งเป็นประโยชน์และเกื้อกูลป้องกันภัยในชีวิตตามธรรมชาติเช่นกัน
สำหรับชีวิตมนุษย์
พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักความพอดีที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตไว้ ๒ ระดับ คือ
๑.ความพอดีระดับสูง เรียกว่า
มัชฌิมาปฏิปทา คือข้อปฏิบัติที่ทำให้บรรลุถึงปัญญาขั้นสูงสุด
จนเข้าใจสรรพสิ่งได้ถูกต้องตามที่มันเป็นและปฏิบัติได้ถูกต้อง
สอดคล้องกับความจริงที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย
ไม่กะเกณฑ์หรือเข้าใจไปตามที่ตนอยากให้เป็น แล้วปฏิบัติไปตามที่อำนาจความอยากชักพา
ข้อปฏิบัตินี้คือ มรรคมีองค์ ๘ หรือย่อให้สั้นเป็น ศีล สมาธิ และปัญญา
๒.ความพอดีระดับสามัญ เรียกว่า
มัตตัญญุตา- ความรู้จักประมาณ
คือความพอเหมาะพอดีในการดำเนินชีวิตในเรื่องสำคัญๆ ตัวอย่างเช่น
ในการกิน
ให้กินแต่พอดี ไม่น้อยไปจนเป็นโรคขาดอาหาร ไม่มากไปจนเป็นโรคอ้วน
กินตามความต้องการของธรรมชาติ ไม่กินตามความต้องการของกิเลส
ในการแสวงหา
ให้รู้จักยินดีในสิ่งที่ได้มา แสวงหาให้เหมาะสมแก่กำลัง
และระมัดระวังเรื่องดี-ชั่ว
ในการทำหน้าที่
ต้องทำให้ถูกคือไม่ให้ผิดหน้าที่ ทำให้ครบคือไม่ให้บกพร่องเสียหาย
หากยังเข้าถึงความพอดีในระดับสูงไม่ได้
จำเป็นอย่ายิ่งที่จะต้องยึดความพอดีในระดับสามัญไว้
หาไม่แล้วชีวิตจะไม่เหลือความพอดีสักอย่างจนทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา
ดุจธรรมชาติและทรัพยากรในโลกที่ถูกทำลายจนขาดความสมดุลและเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง
เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ
ที่มาจากการขาดความสมดุลอันเกิดจากการกระทำที่ขาดสมดุลของมนุษย์นั่นเอง
............................................