ปฏาจารา
เป็นธิดาของเศรษฐีผู้มีสมบัติ ๔๐ โกฏิ มีรูปงาม ตระกูลสูง
แต่พบรักกับหนุ่มรับใช้ในบ้าน และหนีออกไปครองรักกันสองคน
ใช้ชีวิตด้วยการทำไร่ไถนา เก็บผักหาฟืน แม้จะยากลำบากแต่ก็มีความสุข
จนกระทั้งมีลูกคนหนึ่ง
เมื่อตั้งครรภ์ครั้งที่สองและใกล้คลอด
นางอ้อนวอนให้สามีพากลับไปหาพ่อแม่ แต่ถูกห้ามจึงพาลูกน้อยหนีไปตามลำพัง
สามีตามมาทันเมื่อพลบค่ำ ระหว่างนั้น พายุฝนได้กระหน่ำลงมาอย่างหนัก
นางเจ็บท้องใกล้คลอดอย่างกะทันหันสามีจึงฉวยมีดวิ่งออกไปหาตัดกิ่งไม้มาทำที่พักชั่วคราว
ขณะตัดไม้ เขาถูกงูพิษกัดจนสิ้นชีวิตลง
ฝ่ายนางปฏาจาราก็คลอดบุตรคนที่สองอย่างทุกข์ทรมาน
ทารกทั้งสองถูกพายุฝนพัดกระหน่ำจนนางไม่อาจทนรอสามีต่อไปได้
จึงกอดลูกทั้งสองไว้มือหนึ่งแล้วคลำทางไปในป่า
ตามหาสามีท่ามกลางราตรีมืดมิดและพายุฝนที่บ้าคลั่ง
พอสว่างจึงพบร่างไร้วิญญาณของสามี
แม้จะประสบทุกข์อย่างสาหัส
นางก็ยังสู้นำลูกน้อยทั้งสองมุ่งหน้าต่อไป
ถึงแม่น้ำอจิรวดีซึ่งลึกระดับอกไม่สามารถพาลูกข้ามไปพร้อมกันได้
จึงพักลูกคนโตไว้ฝั่งนี้ อุ้มคนเล็กข้ามไปฝั่งโน้น วางไว้
แล้วย้อนกลับมารับอีกคนหนึ่ง ขณะที่กลับมาถึงกลางแม่น้ำนั่นเอง
เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบเอาลูกที่เพิ่งคลอดไป นางตกใจแทบสิ้นสติ
ยกมือขึ้นโบกและตะโกนไล่สุดเสียงแต่ก็ไม่สำเร็จ
ฝ่ายลูกคนโตเห็นกิริยาดังนั้นก็สำคัญไปว่าแม่ร้องเรียกด้วยความไม่เดียงสาจึงเดินลงน้ำไปหาแม่และถูกกระแสน้ำพัดหายไปอีกคนหนึ่ง
ชีวิตของนางไม่เหลืออะไรอีก
กัดฟันมุ่งสู่บ้านเกิดเพื่อเป็นที่พึ่งสุดท้าย พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา
เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าพายุใหญ่เมื่อคืนนี้ได้พัดถล่มบ้านเกิดของนางจนพินาศ
พ่อแม่และพี่ชายเสียชีวิตลงพร้อมกันทั้งหมด ทันทีที่ได้ฟังข่าวร้าย
สติสัมปชัญญะอันเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็ขาดสะบั้นลง ณ บัดนั้น นางกลายเป็นคนเสียสติ
เดินเปลือยกาย หัวเราะ ร้องไห้ เพ้อรำพัน
ซมซานไปตามถนนเป็นที่รังเกียจสมเพชแก่ผู้พบเห็น จนถึงเชตะวันมหาวิหาร
พระพุทธเจ้าประทับนั่งในทามกลางพุทธบริษัท
ทอดพระเนตรเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป ผู้จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
จึงตรัสเรียกให้นางได้สติ แสดงธรรมโปรดจนหายเศร้าโศกและขอบวชในพระพุทธศาสนาได้รับยกย่องว่าเป็นพระเถรีผู้เชี่ยวชาญแตกฉานในด้านพระวินัยในเวลาต่อมา
เรื่องนี้
ไม่มีบทสรุป แต่สำหรับผู้ที่คิดว่ากำลังประสบกับมรสุมชีวิตอยู่
อาจได้ข้อคิดอะไรบ้าง
............................................