สมัยหนึ่ง
พระพุทธเจ้าตรัสถามเด็กหญิงคนหนึ่งว่า เด็กน้อยเธอมาจากไหน เด็กสาวตอบว่า ไม่ทราบ
ตรัสถามต่อไปอีกว่า แล้วเธอจะไปที่ไหน เธอตอบว่า ไม่ทราบ
ชาวบ้านทั้งหลายที่อยู่บริเวณนั้นก็แสดงความไม่พอใจพากันติเตียนต่างๆ นานาว่า พูดจาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ไม่รู้กาลเทศะ ไม่มีการอบรมสั่งสอน แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสว่า
หนูน้อยคนนี้ช่างปัญญาหลักแหลมนัก ตอบคำถามได้ดี
ก่อนที่จะทราบความหมายของคำตอบนั้น
เราต้องเข้าใจก่อนว่า มนุษย์เกิดมาแล้วในโลกนี้ นอกจากจะต้องเดินทางไปๆ มาๆ
ตามเส้นทางคมนาคมทางบก ทางเรือ ทางอากาศแล้ว
ยังมีเส้นทางชีวิตที่จะต้องเดินอยู่อีกถึงสามสาย
พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกเส้นทางเหล่านั้นไว้ว่า
ทางสายที่หนึ่งชื่อ
กามสุขัลลิกานุโยค เดินง่าย สะดวก และเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
ฟุ่มเฟือย เน้นความสนุก เพลิดเพลิน หมกมุ่นอยู่กับการกิน การดื่ม
เสพสุขทางกามารมณ์ แต่แล้วสุดสายปลายทางก็เป็นทุกข์ เดือดร้อนชีวิตไร้สาระแก่นสาร
มีปัญหาตามมามากมาย
ทางสายที่สองชื่อ
อัตตกิลมถานุโยค เดินลำบาก เป็นทุกข์ ทรมาน เป็นการใช้ชีวิตอย่างฝืดเคืองอดอยาก
ตั้งเงื่อนไขให้แก่ชีวิตมากมาย จนแทบจะหาความสุขไม่ได้
ชีวิตเป็นไปตรงกันข้ามกับทางสายที่หนึ่ง
ทางสายที่สามชื่อ
มัชฌิมาปฏิปทา คือเส้นทางที่มีความพอดี ดำเนินไปตามหลักสัมมาปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ
ปัญญา ชีวิตจะประสบความสุขที่แท้จริง เจริญรุ่งเรือง และพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
คำว่าไม่ทราบของเด็กหญิงคนนี้หมายถึงว่า
เธอไม่ทราบว่าชีวิตของเธอมาจากไหน จะไปเกิดที่ไหนอีก
ก็เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไปที่ไม่อาจทราบถึงอดีตชาติและอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
สิ่งเดียวที่มนุษย์เราทำได้ดีที่สุดก็คือการดำเนินชีวิตในปัจจุบันให้อยู่บนเส้นทางที่สาม
อันประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา
ถ้าทำได้แม้จะไม่ทราบถึงอดีตและอนาคตเลยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
............................................