การที่เราไม่กล้าปลุกคนที่กำลังนอนหลับอยู่ก็ดี
ไม่อยากรบกวนขณะที่เขากำลังมีภารกิจยุ่งอยู่ก็ดี
หรือไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเพื่อขอความช่วยเหลือก็ดี
ลักษณะเช่นนี้เป็นมารยาทที่ดีอย่างหนึ่ง เรียกว่า ความเกรงใจ คือ ความคิดที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นต้องลำบากเดือดร้อน
หรือรำคาญใจเพราะตน
ธรรมดาของคนที่อยู่ร่วมกันตั้งแต่
๒ คนขึ้นไป ย่อมจะมีใครบางคนที่ชอบพูดหรือทำอะไรแบบไม่เกรงใจกัน
ไม่คำนึงว่าผู้อื่นจะรู้สึกอย่างไร ขอให้ได้พูดหรือทำตามอารมณ์ของตนก็พอ
เช่นนี้ไม่ดีแน่ มีแต่จะสร้างปัญหา หรือความเกลียดชังให้เกิดแก่ตนเปล่าๆ
สิ่งที่จะช่วยประสานให้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติอย่างหนึ่งคือ ความเกรงใจต่อกัน
หรือให้เกียรติกัน หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง พออดทนไหวก็อดทนอดกลั้นไว้บ้าง
การกระทำก็ต้องระมัดระวังเช่นเดียวกัน
เช่น ไม่ก่อความรำคาญแก่คนอื่นที่อยู่ร่วมกันหลายคน
จะเอาสะดวกสบายเหมือนอยู่คนเดียวไม่ได้ การอยู่คนเดียวอาจจะทำอะไรได้ตามใจชอบ
แต่ถ้าอยู่หลายคนจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องรู้จักเกรงใจคนอื่น
มิเช่นนั้นจะเกิดการขัดใจกัน เช่น คนหนึ่งจะนอนอีกคนหนึ่งจะร้องเพลง
คนหนึ่งต้องการความสงบ ต้องการอ่านหนังสือ อีกคนต้องการเปิดวิทยุเสียงดัง
เมื่อความต้องการเกิดขัดกันเช่นนี้
ความขัดแย้งความนึกรังเกียจชินชังย่อมบังเกิดขึ้น
อันเป็นเหตุนำมาซึ่งการขาดความปรองดองสามัคคีกันในที่สุด
ความเกรงใจมีจุดที่น่าสนใจ
ตรงที่เห็นความสำคัญในความรู้สึกของผู้อื่นเป็นใหญ่กว่า ความรู้สึกของตน
รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าถึงความจริงของธรรมชาติว่าเรารู้สึกเช่นไร ผู้อื่นก็เป็นเช่นนั้น
ทั้งๆ ที่บางขณะอยากทำอยากพูดอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ข่มระงับความต้องการนั้นไว้
เพราะเกรงจะไปกระทบความรู้สึกของคนอื่น กลัวว่าเขาจะไม่สบายใจและเกิดความรังเกียจตน
คนที่มีความเกรงใจผู้อื่นเช่นนี้ จะเป็นคนมีเสน่ห์ น่ารัก เป็นที่เมตตาของคนทั่วไป
ต่างจากคนที่ขาดความเกรงใจคนอื่นไม่คำนึงว่าใครเขาจะคิดอย่างไร
จะเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลายไม่มีใครอยากคบด้วย
เพราะฉะนั้นจึงควรพิจารณาดูตัวเองอยู่เนืองๆ ว่าเราเป็นคนประเภทไหน
วันนี้เกรงใจใครบ้างหรือยัง
.........................................