วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

อริยมรรคมีองค์แปด


                   หันทะ มะยัง อะริยัฏฐังคิกะมัคคะปาฐัง ภะณามะ เส.
เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงสวดบาลีแสดงอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดเถิด.
..........................................
                   (มรรคมีองค์แปด)
อายะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค,             หนทางนี้และเป็นหนทาง อันประเสริฐ ซึ่งประกอบด้วยองค์แปด
เสยยะถีทัง,                                                          ได้แก่ สิ่งเหล่านี้คือ
สัมมาทิฏฐิ                                                           ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปโป                                                   ความดำริชอบ
สัมมาวาจา                                                           การพูดจาชอบ
สัมมากัน มันโต                                                 การทำงานชอบ
สัมมาอาชีโว                                                       การเลี้ยงชีพชอบ
สัมมาวายาโม                                                      ความพากเพียรชอบ
สัมมาสะติ                                                           ความระลึกชอบ
สัมมาสะมาธิ                                                      ความตั้งใจชอบ
                   (องค์มรรคที่หนึ่ง)
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ                    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเห็นชอบ เป็นอย่างไรเล่า
ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง                            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์
ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง                                     เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์
ทุกขะนีโรเธ ญาณัง                                           เป็นความรู้ในความดับแห่งทุกข์
ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง       เป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับแห่งทุกข์
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ                  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า ความเห็นชอบ
                   (องค์มรรคที่สอง)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความดำริชอบ เป็นอย่างไรเล่า
เนขัมมะสังกัปโป                                              ความดำริในการ ออกจากกาม
อะพยาปาทะสังกัปโป                                       ความดำริในการ ไม่มุ่งร้าย
อะวิหิงสาสังกัปโป                                            ความดำริในการไม่เบียดเบียน
อะยัง วุจจะติ ภิกขะ เว สัมมาสังกัปโป         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า ความดำริชอบ
                   (องค์มรรคที่สาม)
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา                    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การพูดจาชอบเป็นอย่างไรเล่า
มุสาวาทาเวระมะณี                                           เจตนาเป็นเครื่องเว้นจาก การพูดไม่จริง
ปิสุณายะ วาจายะ เวระมะณี                            เจตนาเป็นเครื่องเว้นจาก การพูดส่อเสียด
ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี                           เจตนาเป็นเครื่องเว้นจาก การพูดหยาบ
สัมผัปปะลาปา เวระมะณี                                เจตนาเป็นเครื่องเว้นจาก การพูดเพ้อเจ้อ
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา                  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า การพูดจาชอบ
                   (องค์มรรคที่สี่)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การทำงานชอบเป็นอย่างไรเล่า
ปาณาติปาตา เวระมะณี                                    เจตนาเป็นเครื่องเว้นจาก การฆ่า
อะทินนาทานา เวระมะณี                                เจตนาเป็นเครื่องเว้นจาก ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว
กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี                           เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการ ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า การทำงานชอบ
                   (องค์มรรคที่ห้า)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การเลี้ยงชีวิตชอบเป็นอย่างไรเล่า
อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก                          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยนี้
มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ                                       ละการเลี้ยงชีวิตที่ผิดเสีย
สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกัง กัปเปติ                         ย่อมสำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตชอบ
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า การเลี้ยงชีวิตชอบ
                   (องค์มรรคที่หก)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความพากเพียรชอบเป็นอย่างไรเล่า
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ                                             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อะนุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อนุปปาทายะ ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ
                                                                               ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะยังอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
อุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหาปานายะ ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ
                                                                               ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
อะนุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ
                                                                               ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตใจไว้ เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
อุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา อะสัมโมสายะ ภิยโยภาวายะ เวปุลายะ ภาวะนายะ ปาริปูริยา ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิระยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ
                                                                               ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งอยู่ ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบแห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า ความพากเพียรชอบ
                   (องค์มรรคที่เจ็ด)
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ                    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความระลึกชอบเป็นอย่างไรเล่า
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ                                             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
กาเย กาเยนุปัสสี วิหะระติ                               ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
อาตาปิ สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะ นิสสัง
                                                                               มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้
เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ               ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
อาตาปิ สัมปะชาโนสะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
                                                                               มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
ธัมเมสุ ธัมมา นุปัสสี วิหะระติ                       ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
อาตาปิ สัมปะชาโนสะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
                                                                               มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ                  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าว่า ความระลึกชอบ
                   (องค์มรรคที่แปด)
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจมั่นชอบเป็นอย่างไรเล่า
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ                                             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
วิวิจเจวะ กาเมหิ                                                 สงัดแล้วจากกาเมทั้งหลาย
วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ                              สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย
สะวิตักกัง สะวิจารัง วิเวกะชัง ปิติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ
                                                                               เข้าถึงปฐมญาณ ประกอบด้วยวิตกวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่
วิตตักกะวิจารานัง วูปะสะมา                          เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสอง ระงับลง
อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง สะมาธิชัง ปิติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ                   เข้าถึงทุติยญาณ เป็นเครื่องผ่องใส แห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่วิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปิติและสุข อันเกิดจากสมาธิแล้วแลอยู่
ปิติยา จะ วิราคา                                                  อนึ่งเพราะความจางคลายไปแห่ง
ปิติยา อุเปกขะโก จะ วิหะระติ สะโต จะ สัมปะชาโน               ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปะชัญญะ
สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ                       และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารี ติ        
                                                                               ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า “เป็นผู้อยู่อุเบกขามีสติอยู่เป็นปรกติสุข” ดังนั้น
ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ         เขาถึง ตติยฌานแล้ว แลอยู่
สุขัสสะ จะ ปะหานา                                        เพราะละสุขเสียได้
ทุกขัสะ จะ ปะหานา                                         และเพราะละทุกข์เสียได้
ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา      เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน
อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขา สะติปาริสุทธิง จะตุตถัง ฌานัง อุปสัมปัชชะ วิหะระติ
                                                                               เข้าถึงจตุตะฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข  มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่
อะยัง วุจจะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ                ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรากล่าวว่า ความตั้งใจมั่นชอบ
..........................................