รู้เท่าเอาไว้กัน
รู้ทันเอาไว้แก้
เป็นที่ยอมรับกันว่า
ปัจจุบันเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่มีการพัฒนาและเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
เช่น โทรศัพท์มือถือ นอกจากจะใช้สำหรับโทรออก และรับสายเข้าแล้ว
ยังมีการพัฒนาให้สามรถถ่ายรูปได้ ฯลฯ ส่งผลให้มีราคาสูงขึ้น
และทำให้ผู้บริโภคต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้นเป็นเงาตามตัว
เพราะนอกจากจะต้องคอยซื้อบัตรเติมเงินแล้ว ยังอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการล้าง –
อัดรูปด้วย เทคโนโลยีเหล่านี้หากเราไม่รู้จักระมัดระวังก็อาจตกเป็นเหยื่อหรือตกเป็นทาสได้โดยไม่รู้ตัว
จนทำให้เกิดภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ หนี้สินเพิ่มพูนโดยไม่จำเป็น
พระท่านสอนไว้ว่า
คนฉลาดต้องรู้จักระมัดระวังตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมาร ซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายต่ำ
ที่สังคมจัดขึ้นมาเพื่อหลอกล่อให้เราหลงใหลอยู่ตลอดเวลา
บางครั้งต้องดิ้นรนแสวงหาโดยวิธีการที่ผิด ด้วยการทุจริตคดโกง จี้ ปล้น
เพื่อหาเงินมาซื้อสิ่งของเหล่านั้นไว้สนองความต้องการของตนเอง
วิธีการที่จะไม่ให้ตกเป็นเหยื่อนั้น
ให้ยึดหลักสามประการ คือ
๑.ระวังกาย (กายสุจริต) คือ
รู้จักระมัดระวังการกระทำของตนเอง ไม่ก่อความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เช่น
ไม่ลักทรัพย์ของผู้อื่น
๒.ระวังวาจา (วจีสุจริต) คือ
รู้จักพูดสิ่งที่มีสาระ ไม่พูดส่อเสียดใส่ร้ายผู้อื่น
และรู้จักบริโภคสิ่งที่เป็นประโยชน์
๓.ระวังใจ (มโนสุจริต) คือ
รู้จักนึกคิดในทางที่สร้างสรรค์หรือก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้า
ไม่โลภอยากได้ของของเขา ไม่อาฆาตหรือพยาบาทปองร้ายคนอื่น
ผู้ที่รู้จักระมัดระวังกาย วาจา
ใจ อยู่เสมอ จะเป็นคนสุขุมรอบคอบ ไม่มีความผิดพลาดในเรื่องที่คิด ในกิจที่ทำ
และในถ้อยคำที่พูด ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต และที่สำคัญไม่ตกเป็นเหยื่อของอำนาจฝ่ายต่ำ
จนต้องประกอบการทุจริตดังกล่าวข้างต้น หากทำได้เช่นนี้ ก็จะได้ชื่อว่า
“รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้” อย่างแท้จริง
............................................