มีผู้กล่าวไว้ว่าหาก “ชีวิตคือการเดินทาง”
เพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายปลายทาง ชีวิตจำเป็นต้องมีเรี่ยวแรงเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน
หรือหาก “ชีวิตคือการต่อสู้” เพื่อให้ชนะอุปสรรคต่างๆ ชีวิตก็จำเป็นต้องมีอาวุธเป็นเครื่องช่วยในการต่อสู้นักปราชญ์เรียกตัวช่วยชีวิตเหล่านี้ว่า
“กำลังชีวิต”
คติความเชื่อดังกล่าว
สอดคล้องกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ว่า
“มนุษย์มีศักยภาพในตัวเองเพียงพอที่จะขับเคลื่อนชีวิตไปสู่ความสำเร็จได้
โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกช่วยดลบันดาลให้ แต่ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน
อบรมตนเองเป็นสำคัญ”
ศักยภาพที่เกิดจากการฝึกฝนอบรมนั้น
มนุษย์สามารถสร้างได้ด้วยการปฏิบัติตามหลักพลธรรมหรือธรรมอันเป็นกำลังชีวิต ๔
ประการ ได้แก่
๑.ปัญญาพละ-กำลังปัญญา
คือได้ศึกษา มีความรู้ความเข้าใจถูกต้องชัดเจนในเรื่องราวและกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง
เปรียบเสมือนมีแสงสว่างส่องทางให้ชีวิต
และเป็นเสมือนมีอาวุธสำหรับต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ดังคำกล่าวที่ว่า
“แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี” และ “ปัญญาประดุจดังอาวุธ”
๒.วิริยพละ-กำลังความเพียร
คือประกอบกิจทำหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความบากบั่นพยายามกล้าหาญเข้มแข็ง
ไม่หวั่นกลัวต่ออุปสรรคต่างๆ โดยยึดหลักว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
๓.อนวัชชพละ-กำลังความสุจริต
หรือกำลังความบริสุทธิ์ คือมีความประพฤติและหน้าที่การงานสุจริต ไร้โทษ
สะอาดบริสุทธิ์ อันจะก่อให้เกิดพลังการป้องกันภยันตรายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
ดังคำกล่าวที่ว่า “สุจริตคือเกราะบังสาตร์พ้อง”
๔.สังคหพละ-กำลังสงเคราะห์
คือบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวม ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่กัน อันจะก่อให้เกิดพลังความรัก
ความผูกพัน ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ดังคำกล่าวที่ว่า
“ความพร้อมเพียงของหมู่คณะยังประโยชน์ให้สำเร็จ”
พลธรรม หรือกำลังชีวิตทั้ง ๔
ประการ นั้น เป็นหลักประกันชีวิตที่สำคัญยิ่ง หากบุคคลฝึกฝนอบรมให้เกิดมีในตัวแล้ว
ย่อมจะก่อให้เกิด พลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ เข้มแข็ง
สามารถขับเคลื่อนชีวิตไปสู่ความสำเร็จสมความปรารถนาที่ต้องการได้อย่างสมบูรณ์
............................................