วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

ช้างตกหล่ม


                มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง มีชาวต่างประเทศ คนหนึ่ง มาติดต่อ ธุรกิจ ที่เมืองไทย และได้ไปเที่ยว ณ สถานเริงรมย์ แห่งหนึ่ง ครั้งแรก เขาตั้งใจ ทดลอง ไปเที่ยว เพียงครั้งเดียว แล้วก็เลิก แต่เมื่อมี ครั้งที่หนึ่งแล้ว ครั้งที่สอง ที่สามก็ตามมา ต่อมา เขาสำนึกได้ว่า เขามีภรรยาแล้ว การกระทำเช่นนั้น เป็นการไม่ซื่อสัตย์ ต่อภรรยา เป็นบาป จึงเข้าไปสนทนา กับพระไทย ที่วัดแห่งหนึ่ง เพื่อถามถึง อุบายวิธี ที่จะเลิก จากการทำชั่ว ต่อไป พระท่านตอบว่า ไม่ควรให้โอกาสตัวเอง กับการทำความชั่ว ควรหักห้ามใจ ตนเองไว้ เพราะถ้าให้โอกาส อาจทำความชั่ว ได้บ่อย ๆ จนเกิด ความติดใจ ในการทำความชั่วได้ แล้วจะเลิก จากการทำความชั่ว ได้ยาก คนที่พอใจ ในการทำความชั่วแล้ว ถอนตัวได้ยาก เหมือนกับช้างตกหล่ม
                ธรรมชาติ ของช้างนั้น เมื่อตกหล่มแล้ว จะขึ้นจากหล่ม ได้ยาก เนื่องจาก ช้างตัวใหญ่ บางที ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งจะจมลึกลงไป แต่ช้าง จะมีวิธีขึ้น จากหล่ม ๒ วิธี คือ
              ๑. ส่งเสียงร้อง เพื่อขอความช่วยเหลือ จากช้างตัวอื่น หรือ ควาญช้าง ให้ช่วยฉุดลาก ขึ้นจากหล่ม
              ๒. ช่วยตัวเอง ด้วยการใช้งวงจับกิ่งไม้ หรือต้นไม้ใกล้ตัว เพื่อพยุงตัวเอง ให้ขึ้นจากหล่ม
                วิธีการ ที่จะถอนตัว จากทำชั่ว ต่าง ๆ เช่น การเสพสิ่งเสพติด การติดสุรา การเล่นการพนัน และการเที่ยวกลางคืน เป็นต้น ให้ใช้วิธีการ เช่นเดียวกับ ช้างขึ้นจากหล่ม กล่าวคือ
                ๑. อาศัย ความช่วยเหลือ จากผู้อื่น เช่น ญาติมิตร ผู้บังคับบัญชา คอยให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ หรือให้คำปรึกษา ในการลด ละ เลิก จากความชั่วนั้น ๆ
                ๒. ต้องช่วยตัวเอง คือ ต้องมีสามัญสำนึก ที่จะเลิก เพราะตระหนัก ถึงโทษภัย ของสิ่งนั้น ๆ และตั้งใจเด็ดเดี่ยว ที่จะลด ละ เลิก ให้ได้
                ปัจจุบัน ในสังคมเรา มีคน เป็นจำนวนมาก ที่กำลังตกหล่ม คือ ถูกสิ่งยั่วเย้า  อบายมุข  ชักชวน ให้ทำชั่ว ถ้าพบเห็น จงนำ วิธีการ แบบช้างตกหล่ม ไปให้ความช่วยเหลือ เขาด้วยเถิด และพึงระมัดระวัง ด้วยว่า อย่าเป็น ผู้ตกหล่มเสียเอง ก็แล้วกัน

....................................

อุบายสุขใจ


                เป็นความจริงที่ว่าทุกคนย่อมปรารถนาความสุข เกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น และอยากจะมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไปจึงพยายามขวนขวายแสวงหาความสุขด้วยวิธีการต่างๆ ตามที่ตนคิดว่าจะได้รับความสุขสมปรารถนา แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า คนจำนวนมากในโลกนี้ได้รับความสุขอย่างขาดตกบกพร่อง บ้างก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่บนกองเงินกองทอง บ้างก็นั่งระทมทุกข์เพราะความยากจนข้นแค้น จึงเห็นได้ว่า ทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียวไม่อาจเป็นหลักประกันได้ว่าจะให้ความสุขที่สมบูรณ์แบบได้ ในสมัยโบราณมีผู้สอนอุบายเพื่อสร้างเสริมความสุขด้านจิตใจให้เกิดมีอยู่เสมอ คือได้แนะกลวิธีเอาชนะทุกข์และสร้างสุขให้แก่ชีวิต ว่าอยู่ที่การรู้จักใส่ใจ เข้าใจ และทำใจโดยรู้จักยอมรับในความเป็นจริง และความเป็นไปของชีวิต ตลอดถึงรู้จักแบ่งปัน เสียสละ เพื่อสร้างสรรค์สังคม ด้วยอุบาย ๕ ประการ คือ
                ๑.รู้จักพอ คือรู้จักพอใจ พอได้ พอมี พอดี พอเพียง ไม่โลภ ไม่ริษยา
                ๒.รู้จักให้ คือรู้จักเสียสละ แบ่งปัน ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว
                ๓.รู้จักทำใจ คือ มีการเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ ไม่ประมาท พร้อมที่จะยอมรับความจริงได้ในทุกสถานการณ์
                ๔.รู้จักปล่อยวาง คือรู้ว่าอะไรที่ควรปลง ควรปล่อยวาง ก็ปลงก็วาง ไม่ยึดติด ถือมั่นจนเป็นทุกข์
                ๕.เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา คือมีการฝึกฝนเรียนให้รู้ถึงความจริงของกฎธรรมชาติที่ว่า ทุกสิ่งมีได้ มีเสีย มีชื่นชม มีขมขื่น มีเกิด มีดับ มีจากไป
                หากทุกคนได้มีการเตรียมพร้อม เรียนรู้ และฝึกฝนตอยู่อย่างนี้ ก็จะเชื่อว่า มีอุบายสำหรับสร้างความสุขใจ อยู่อย่างพร้อมมูล อุบายทั้ง ๕ นี้ จะส่งเสริมความสุขให้เกิดขึ้นทั้งแก่ผู้มีทรัพย์สินเงินทองและผู้ที่ยากจนอย่างเสมอกัน ลองหันมาฝึกตนให้เป็นคนรู้จักพอ รู้จักให้ รู้จักทำใจ รู้จักปล่อยวาง และเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา กันเถิด

............................................

อย่าปล่อยให้กิเลสลอยนวล

อย่าปล่อยให้กิเลสลอยนวล
                สังคมไทย เชื่อกันว่า ศัตรูสำคัญ ของชีวิต คือ ยาเสพติด โดยเฉพาะ ยาเสพติด ตระกูลยาบ้า โดยประเมิน จากผลงานการกระทำที่เกี่ยวข้องกับยาบ้าว่า ทำให้สังคมวิกฤต เช่น คนมียศ ต้องถูกถอดยศ คนมีเกียรติ กลายเป็นคนไร้เกียรติ คนมีงานทำ ต้องตกงาน ครอบครัว ต้องแตกแยก คนที่ควรจะก้าวหน้า กลับต้องตกต่ำ และคนที่ควรจะมีชีวิตอยู่ เพื่อยังประโยชน์ แก่สังคมต้องมาตาย ไปเสียก่อนวัยอันควร ดังนั้น รัฐบาล จึงใช้มาตรการ ทางกฎหมายประกาศสงครามขั้นแตกหักกับยาเสพติดอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ เป็นต้นมา และนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้มีผู้เสียชีวิตไปเพราะยาเสพติด เป็นต้นเหตุ จำนวนหลายราย
                ในแง่ แนวคิดทางธรรม ซึ่งมองการแก้ปัญหาชีวิต ผ่านหลักธรรม คำสอน ของพระพุทธศาสนา ก็มีความเชื่อ เช่นกันว่า ยาเสพติด ทุกชนิด เป็นศัตรู ชีวิต ของคนเรา แต่ถือเป็น ศัตรูรายย่อย ส่วนศัตรูรายใหญ่ ผู้บงการ ที่แท้จริง คือ กิเลส ๓ ตระกูล ได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ หรือ โลภ โกรธ หลง เพราะโลภะ บงการให้คนเราอยากได้ โดยวิธีไม่ถูกต้อง โทสะ บงการ ให้คนเราทำลายผู้ที่ขัดขวางความปรารถนาของตน และทำร้ายตัวเองด้วยการ เสพยาเสพติดทำลายสังคม ด้วยการ ผลิต และค้ายาเสพติด และโมหะบงการ ให้หลงผิด เกิดโลภะ และโทสะ อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน
                การแก้ปัญหายาเสพติด ในระดับ ศัตรูรายย่อยด้วยมาตรการทางกฎหมายโดยการวิสามัญฆาตกรรม บ้าง ฆ่าตัดตอนบ้าง ย่อมเสี่ยง ต่อการ ทำผิดกฎหมาย และละเมิดสิทธิ มนุษยชน แต่การแก้ปัญหา ยาเสพติด ในระดับ ศัตรูรายใหญ่ ด้วยมาตรการ ทางศาสนา จะโดย วิสามัญ ฆาตกรรม หรือ ฆ่าตัดตอน กิเลส ภายใน จิตใจ รับรองว่า ไม่ผิดกฎหมาย และไม่ ละเมิดสิทธิ ใครอย่าง แน่นอน

....................................

วัฒนธรรมมือถือ


                ปัจจุบัน การสื่อสารมีความก้าวล้ำทันสมัยกว่าแต่ก่อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรศัพท์มือถือ ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันง่ายขึ้น สะดวดรวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใดก็สามารถติดต่อกันได้ฉับไว หากใครไม่มีโทรศัพท์มือถือก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าล้าหลังไม่ทันสมัย
                คำกล่าวที่ว่าทุกอย่างเมื่อมีคุณก็ต้องมีโทษนั้น ยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือหากมองอีกด้านหนึ่งจะเห็นว่ามีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนเราไม่น้อย ดั่งเช่น
                ๑.คนใช้อารมณ์ความรู้สึกกันมากขึ้นและใช้ความคิดน้อยลง ซึ่งแต่ก่อนนั้นการจะตกลงรับปากกับใครในเรื่องอะไรก็ตาม มักมีเวลาไตร่ตรองผัดผ่อนหรือมีทางเลือก แต่ในยุคโทรศัพท์มือถือนี้ดูเหมือนจะไม่เปิดโอกาสให้มีเวลาในการไตร่ตรองปัญหาเหมือนก่อน ต้องคิดไว ทำไว ซึ่งมักมีข้อผิดพลาดได้มากตามมา
                ๒.มีเวลาเป็นของตัวเองน้อยลง แต่ก่อนโทรศัพท์อยู่ที่บ้านกว่าจะได้ใช้ก็ต่อเมื่ออยู่บ้านเท่านั้น มีเวลาส่วนตัวมาก ปัจจุบันเมื่อมีโทรศัพท์มือถือระบาด สามารถใช้ได้ทุกเวลา จึงเหลือเวลาที่เป็นส่วนตัวน้อยลง และบางครั้งการพูดคุยกันทางโทรศัพท์มือถือก็ไม่ค่อยได้สาระเท่าไรนัก โทรถึงคนโน้น จบแล้วก็โทรถึงคนนี้ต่อ ดูวุ่นวายเป็นบันเทิงอารมณ์มากกว่าจะประเทืองปัญญา
                ๔.เป็นช่องทางให้เกิดโจรกรรม เนื่องจากโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่มีความทันสมัยมากขึ้น เช่น ใช้เป็นกล้องถ่ายรูป หรือดูโทรทัศน์ได้ และมีราคาสูง จึงเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจให้โจรในคราบต่างๆ หาช่องทางช่วงชิงหรือปล้น มาเป็นของตนเอง แม้บางครั้งเป็นแค่เพียงอารมชั่ววูบก็ยังมีให้เห็นเป็นข่าวอยู่เสมอๆ
                โทรศัพท์มือถือแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ขณะเดียวกันก็พึงสังวรถึงผลเสียหายต่างๆ ที่จะตามมา ที่สำคัญคือต้องรู้จักใช้ ไม่เช่นนั้นก็จะก่อให้เกิดความเสียหายได้ไม่จบสิ้น ดังคำที่ว่า “ใช้สิ่งใดไม่เป็น ก็จะเป็นทาสของสิ่งๆ นั้นนั่นเอง”

....................................